หากคุณแค่ระบายก็ไม่จำเป็นต้องอ่านต่อ
หากอยากรู้วิธีทำใจเข้าใจโลกว่าไม่ได้มีแต่คุณคนเดียวในโลกที่เป็นแบบนี้ให้อ่านต่อ
เรื่องของคุณ
ให้มองว่าเป็นกำไรชีวิต
- การดิ้นรน ทำให้คุณรู้จัก ดู/ฟัง/อ่าน ใช้ความคิดวิเคราะห์เพื่อให้เข้าถึงตาม ใช้ความคิดออกนอกกรอบที่เรียนรู้มาแต่อยู่ในศีลธรรมเพื่อความอยู่รอด เลี้ยงชีพ ถามเพื่อเข้าถึงจดทบทวนเพื่อจำมั่น นี่เป็นกำไรชีวิตของผู้ที่ดิ้นรนอยู่ ความคิด ความเอาตัวรอด ความฉลาดไหวพริบในการเลี้ยงชีพ ที่สำคัญความเพียร ฉลาดในความเพียรจะมีมากกว่าเขาเยอะ
- แม่ป่วย เราดูแลแม่ ไม่เกรี้ยวกราดอารมณ์ใส่พ่อแม่ เช่นเงินหมด เปลืองเงิน โมโหเรื่องงานแต่ไม่เอามาลงแม่ ดูแลเลี้ยงดูพ่อแม่อย่างดี เพื่อทดแทนคุณท่านที่ให้ชีวิต บอกโลกแก่เรามา เมื่อท่านเป็นอย่างนั้น บอกธรรมให้ท่าน ให้ท่านเจริญปฏิบัติธรรม ให้ท่านปลงใจจากกาย มันไม่เที่ยง ไม่ใช่ตังตนของเรา บังคับไม่ได้ เพิกใจออกจากความเข้ายึดครองกายนี้ได้ ย่อมเป็นสุข เรียกว่า ทำความกตัญญู กตเวทีโดยบริบูรณ์ นี่กำไรชีวิตของธรรมสูงที่ลูกควรทำ ที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนไว้
- ในขณะที่คุณเกิดความขุ่นเคืองที่ต้องมาดูแลแม่ ไม่อยากมาเกิดเจอกันอีกให้ลำบาก ขณะนั้นเป็นกรรมใหญ่
- ในขณะที่คุณมีความรักต่อแม่ ไม่รังเกียจที่ได้ดูแลแม่ แต่ไม่อยากให้ท่านและตัวคุณเกิดมาอีกให้ต้องมาเจ็บป่วยทรมาน ขณะนั้นคุณมีความกตัญญูกตเวที แต่ยังข้องด้วย วิภวะตัณหา ความไม่อยากมีไม่อยากเป็น
- ในขณะที่คุณมีความรักต่อแม่แต่เกิดเห็นอาการทุพลภาพของแม่แล้วเกิดความหน่ายร่างกาย เพราะเป็นของสูญ สักอแต่ว่าอาศัยได้ชั่วคราว ไม่ใช่ตัวตนของเรา เราบังคับไม่ได้ ไม่อยู่ยั่งยืนนาน นานสุดแค่หมดลมหายใจเรานี้ ไม่อยากมาเกิดมาครองสิ่งไม่เที่ยงเป็นทุกข์นี้อีก เรียกจิตโคจรเข้าความหน่ายโดยปัญญา
- เสวยอาการความรู้สึกคือเวทนา แต่ที่มีรัก โลภ โกรธ หลง ยึดครอง คือความคิด วิธีพ้นคือ ไม่ติดใจข้องแวะสิ่งไรๆในโลก ติดข้องใจไปก็หาประโยชน์สุขไรๆไม่ได้นอกจากทุกข์ ไม่ติดใจข้องแวะสิ่งไรก็็ไม่ทุกข์ หากพอเป็นก็หมดทุกข์ พอเพียง อิ่มพอ เพียงพอ
- จิตคือตัวรู้ แต่มันรู้แต่สมมติความคิดกิเลสที่เอาไว้หลอกจิต อาศัยความรู้ทาง หู ตา จมูก ลิ้น กาย ใจเป็นตัวล่อให้เราหลงยึดตาม ไม่ยึดความคิด ไม่ยึดสิ่งไรๆ ไม่ยึดสิ่งที่จิตรู้ เพราะมันรู้แต่สมมติก็ไม่ทุกข์ ของจริงมีแค่ลมหายใจ คือ ธาตุลม วาโยธาตุที่มีอยู่ในกายนี้ อาการที่พัดเข้า พัดออกเคลื่อนไปในเรา
เรื่องของผม
** แม่ผมป่วยมะเร็งเข้ากระดูกขยับตัวไม่ได้พูดแทบจะไม่ได้ นอนอย่างเดียว หมดเงินค่าอาหารค่ายาอาทิตย์ละหมื่นกว่าบาท ค่ารถพยาบาทไปหาหมอครั้งละ 3600 ยาขวดเท่า 3 ข้อนิ้วมือ 375 บาท อาหารเสริมกระป๋องละ 780 บาท ถุงฉี่หน้าท้อง สายยาง ที่มีแตกแทบทุกวัน อาหารที่ต้อง สด สุก สะอาด เงินเดือนผมเดือนละ 11,460 บาท หนี้ทางบริษัทร่วมแสน หนี้บัติ 30,000 ลูกชาย 11 ขวบ เรียน ค่าชุดนักเรียนแพง กระเป๋าแพง รองเท้าแพง แต่ต้องทำ แต่ถึงจะลำบากตะเกียกตะะกาย ผมก็สุขที่ได้ทำ เพราะเกิดมาชาติหนึ่งได้ทำหน้าที่พ่อที่ดี ทำหน้าที่ลูกกตัญญูกตเวที แนะนำพระธรรมกรรมฐานและความปลงใจจากกายให้แม่ แม่ก็ไม่ยอมฟังหรอกแต่ผมบอกว่า แม่ตัดไตตัดกระเพาะปัสสาวะออกแล้วแม่ตายไหม ยังไม่ตาย ตัดออกแล้วเขาเอาไตแม่ไปผ่าแม่ยังไม่รู้สึกเลย แล้วจะเอาสิ่งใดในกายมาเรียกว่าเป็นแม่ เป็นของแม่ได้อีก ถ้าไม่เอาจิตเข้ายึดครองกายนี้แม่จะเจ็บจะปวดจะทุกข์อยู่ที่ไหนทิ้งกายนี้ไปเสียจะไม่ทุกข์ แล้วพุทโธไปนั่นแหละของจริง ตายในพุทโธก็ไปสวรรค์ แม่ผมก็เริ่มฟังแล้วไม่ขัด พยายามน้อมนำธรรมตาม ผมไม่เหนื่อยแม้เป็นหนีในตอนนี้เพราะรู้ว่าตนสะสมบารมีตนอยู่ด้วย ความเพียร คือ วิริยะบารมี และความอดทน คือ ขันติบารมี ได้ทำธรรมอันมีค่าสูงที่ทำต่อบุพการี เรามาอาศัยกายนี้เพื่ออบรม ทาน ศีล ภาวนา บารมีธรรม จึงชื่อว่าไม่เสียชาติเกิด
คิดเอาว่าความหนักหนาต่างกันไหม ใครมาก ใครน้อย จะเข้าใจว่า...
"ทุกข์..มีไว้ให้กำหนดรู้ ไม่ได้มีไว้เสพย์"
"สมุทัย..มีไว้ให้ละ ไม่ได้มีไว้ให้ยึดกอดเป็นเครื่องอยู่ของจิต"
"นิโรธ..มีไว้ทำให้แจ้ง ไม่ได้มีไว้เพ้อฝัน"
"มรรค..มีไว้ทำ ไม่ได้มีไว้ท่องจำ"