เมษายน 19, 2024, 12:44:33 PM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา ปฏิทิน เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: กรรมฐาน ๔๐  (อ่าน 8402 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
เด็กหน้าวัด
เด็กใหม่
นักบุญผู้ใจดี
*****

พลังความดี : 696


เพศ: ชาย
กระทู้: 13280
สมาชิก ID: 1


« เมื่อ: พฤษภาคม 26, 2012, 11:38:00 AM »

Permalink: กรรมฐาน ๔๐
กรรมฐาน ๔๐

มีวิศวกรอยู่คณะหนึ่งได้ยินกิตติศัพท์ของพระรูปหนึ่ง ปฏิบัติธรรมอยู่ในป่า ได้รับการยก
ย่องว่าเป็นผู้มีสติปัญญามาก จึงอยากจะไปพิสูจน์ดูว่า ปัญญาของพระองค์นี้เป็นอย่างไร ถึงมีคน
ยกย่องกันนักหนา เมื่อได้ไปกราบท่านและพอมีโอกาส ก็ถามปัญหาเพื่อทดสอบปัญญาของท่าน
ว่า หลวงพ่อครับ เรือบินมันบินได้อย่างไร หลวงพ่อท่านก็ตอบกลับทันควันว่า จิต พวกวิศวกร
ถึงกับอึ้งไปขณะหนึ่ง แต่หลังจากได้พิจารณาแล้ว ก็ยอมรับในปัญญาของหลวงพ่อ ว่าเป็น
ปัญญาที่แท้จริง เพราะถ้าไม่มีจิตแล้ว สิ่งต่างๆ ก็ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ แม้แต่ร่างกายของเรา
เอง ก็ยังต้องมีจิตเป็นผู้สั่งการถึงจะเคลื่อนไหวได้
ที่ท่านทั้งหลายมาที่วัดนี้ได้ ก็เพราะจิตเป็นผู้พามา เป็นผู้สั่งการ ถึงจะมาที่นี่ได้ รถยนต์ถ้า
ไม่มีจิตสั่งการ ก็ขับเคลื่อนไปไม่ได้ เรือบินก็เช่นกัน ต้องจอดอยู่กับที่ ต้องมีผู้สั่งการถึงจะขับ
เคลื่อนไปได้ ผู้ขับก็ไม่ใช่ใครที่ไหน ก็คือจิตนั่นเอง พระพุทธองค์จึงแสดงไว้ว่าไม่มีอะไรที่จะ
สำ คัญยิ่งใหญ่เท่ากับจิต ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นจากจิต แม้ว่าความสุขก็ดี ความทุกข์ก็ดี จิตเป็นผู้
สร้างขึ้นมา และจิตก็เป็นผู้รับผลของการกระทำ ของจิต จิตจะสุขหรือทุกข์ก็ขึ้นกับการกระทำ
ของจิตเอง จิตที่ฉลาดย่อมทำ แต่สิ่งที่นำ แต่ความสุขมาให้ จิตที่โง่เขลาเบาปัญญาย่อมจะทำ แต่สิ่ง
ที่นำ ความทุกข์มาให้แก่จิต

พระพุทธองค์จึงสอนให้ชาวพุทธทั้งหลายให้พัฒนาจิต ดูแลรักษาจิตด้วยการปฏิบัติธรรม
เจริญจิตตภาวนา ดูแลจิต รักษาจิตให้เป็นจิตที่สะอาด เป็นจิตที่ฉลาด เป็นจิตที่สงบ เมื่อมีการ
เจริญจิตตภาวนาแล้ว จิตจะพัฒนาไปในทิศทางที่ดี จิตจะมีความสงบร่มเย็น มีความฉลาด มี
ปัญญา การเจริญจิตตภาวนาแบ่งไว้เป็นสองขั้นตอน ขั้นแรกเรียกว่าสมถภาวนา คือการทำ จิตให้
สงบ ขั้นตอนต่อมาเรียกว่าวิปัสสนาภาวนา คือการทำ ให้เกิดปัญญา เกิดความรู้แจ้งเห็นจริงใน
สภาวธรรมทั้งหลาย ที่มีอยู่ในโลกนี้ ที่จิตเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย ให้เห็นว่าเป็นอนิจจัง เป็นของไม่
เที่ยง เป็นสภาพที่ไม่น่ายินดี เป็นทุกข์ เป็นอนัตตาปราศจากตัวตน
สาเหตุที่ทุกคนที่อยู่ในโลกนี้มีแต่ความวุ่นวาย มีแต่ความทุกข์กัน ก็เพราะว่าขาดปัญญา
ขาดความรู้ความเข้าใจอันถูกต้อง ว่าสิ่งต่างๆ ในโลกนี้ ไม่ใช่ความสุขเลย มีแต่ความทุกข์ทั้งนั้น
เพราะโดยธรรมชาติของสิ่งต่างๆ เหล่านี้ เป็นของไม่เที่ยงแท้แน่นอน เป็นของที่ไม่สามารถยึดไว้
เป็นที่พึ่งได้อย่างแท้จริง เพราะทุกสิ่งทุกอย่างมีการแปรสภาพ มีการเสื่อม และมีการดับสลายไป
ในที่สุด สิ่งไหนถ้าเราไปยึด ไปหวังให้เป็นสิ่งที่นำ ความสุขมาให้ สิ่งนั้นก็จะให้ความสุขกับเรา
ในขณะที่ยังคงสภาพอยู่ เมื่อเปลี่ยนไป สลายไป ความสุขที่ได้จากสิ่งเหล่านั้นก็จะหมดไป กลาย
เป็นความทุกข์ขึ้นมาแทนที่ นี่คือเรื่องของสภาวธรรมทั้งหลายในโลกนี้ ที่จิตเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย
พระพุทธองค์ทรงตรัสรู้เห็นด้วยปัญญาว่า สภาวธรรมทั้งหลายเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์
ไม่เป็นตัวตน เรียกว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เป็นไตรลักษณ์ ไตรคือสาม ลักษณ์คือลักษณะ ทุก
สิ่งทุกอย่างในโลกมีลักษณะ ๓ เหมือนกันหมด เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แต่จิตที่ไม่ได้รับการ
อบรม ไม่ได้รับการพัฒนา ไม่ได้เจริญสมถวิปัสสนาภาวนา จะไม่เห็นสภาวธรรมเหล่านี้ว่าเป็น
ไตรลักษณ์ กลับเห็นตรงกันข้ามกัน กลับเห็นว่าเป็นของที่เที่ยงแท้แน่นอน เป็นของที่จะนำ ความ
สุขมาให้ เป็นของที่สามารถกำ หนดได้ว่าเป็นของๆ เรา เป็นตัวของเรา เพราะจิตถูกกิเลส ตัณหา
โมหะ อวิชชา ครอบงำ ไว้อยู่ จึงทำ ให้เห็นผิดเป็นชอบ เปรียบเหมือนกับคนสมัยก่อนที่เห็นว่า
โลกนี้แบน ต่อมาก็มีคนฉลาดสามารถพิสูจน์ความจริงได้ว่า โลกไม่แบน แต่กลม การที่จะทำ ให้
จิตเห็นสิ่งต่างๆ เป็นไปตามความเป็นจริงได้ จึงต้องอาศัยการเจริญจิตตภาวนา
การเจริญจิตตภาวนาเป็นการชำ ระซักฟอกกิเลสเครื่องเศร้าหมอง โมหะความโง่เขลาเบา
ปัญญา ที่ครอบงำ หุ้มห่อจิตไว้ เปรียบเหมือนกับกระจกรถยนต์ ถ้าไปโดนโคลนโดนฝุ่นเข้าก็จะ
มัว ทำ ให้คนขับรถไม่สามารถมองเห็นได้ชัดเจนว่าข้างหน้ารถมีอะไรอยู่บ้าง ถ้าไม่เอานํ้ามาล้าง
ชำ ระให้ใสสะอาด ก็ไม่สามารถขับรถไปได้ด้วยด้วยความสะดวก สบาย ราบรื่น ปลอดภัย ถ้าได้
เอานํ้ามาชำ ระล้างออกไปแล้ว กระจกก็จะใส ก็จะสามารถเห็นสิ่งต่างๆได้ฉันใด จิตก็ฉันนั้น จิต
ที่มีกิเลส โมหะ อวิชชา ครอบงำ อยู่ ไม่ได้รับการชำ ระซักฟอก ก็จะเป็นจิตที่มีแต่ความมืดบอด
โง่เขลาเบาปัญญา มีมิจฉาทิฐิ ความเห็นผิด เห็นกงจักรเป็นดอกบัว การเจริญจิตตภาวนาจึงเป็น
การชำ ระจิตให้สะอาดหมดจด เมื่อจิตมีความสะอาดแล้ว จิตจะมีความสงบ มีความอิ่ม มีความ
พอ

การทำ จิตให้สงบมีหลายวิธีด้วยกัน ท่านที่เคยไปตามสำ นักต่างๆ จะสังเกตเห็นว่าแต่ละ
สำ นักจะมีวิธีสอนการทำ สมถภาวนา คือการทำ จิตให้สงบไม่เหมือนกัน บางสำ นักก็สอนให้
เจริญยุบหนอ พองหนอ ให้ดูการพองและยุบของหน้าท้อง บางสำ นักก็ให้กำ หนดดูลมหายใจเข้า
ออก บางสำ นักก็ให้บริกรรมคำ ว่าพุทโธๆๆ บางสำ นักก็ให้เพ่งดูลูกแก้วสีขาวๆ ซึ่งการกระทำ
เหล่านี้เป็นการเจริญสมถภาวนาด้วยกันทั้งสิ้น เป็นเพราะเหตุใดถึงได้มีวิธีการที่แตกต่างกัน ก็
เพราะกรรมฐานที่ใช้เป็นอารมณ์ทำ ให้จิตสงบมีอยู่หลายชนิดด้วยกัน ตามจริตนิสัยที่หลากหลาย
ไม่เหมือนกัน คนเรามีความชอบ ความถนัดไม่เหมือนกัน เหมือนกับอาหารที่มีหลากหลายชนิด
ด้วยกัน ร้านอาหารแต่ละร้านก็มีอาหารมากมายหลายอย่าง เพื่อให้คนรับประทานได้เลือกตาม
ความพอใจ แต่ก็เป็นอาหารทั้งนั้น เมื่อรับประทานเข้าไปแล้วก็จะทำ ให้อิ่มเหมือนกันหมด
กรรมฐานที่เป็นอารมณ์ทำ ให้จิตมีความสงบก็มีอยู่หลายชนิดด้วยกัน แต่ก็มีไว้สำ หรับทำ ให้จิต
สงบด้วยกันทั้งนั้น พระพุทธองค์ทรงแสดงไว้ถึง ๔๐ ชนิด เรียกว่ากรรมฐาน ๔๐ แบ่งเป็น กสิณ
๑๐ อสุภ ๑๐ อนุสติ ๑๐ พรหมวิหาร ๔ อาหาเรปฏิกูลสัญญา ๑ จตุธาตุววัฏฐาน ๑ อรูป ๔
กสิณ ๑๐ คือวัตถุสำ หรับเพ่งเพื่อจูงจิตให้เป็นสมาธิ ได้แก่ ๑. ปฐวีกสิณ กสิณที่ใช้ดินเป็น
อารมณ์ ๒. อาโปกสิณ กสิณที่ใช้นํ้าเป็นอารมณ์ ๓. เตโชกสิณ กสิณที่ใช้ไฟเป็นอารมณ์ ๔. วาโย
กสิณ กสิณที่ใช้ลมเป็นอารมณ์ ๕. นีลกสิณ กสิณที่ใช้สีเขียวเป็นอารมณ์ ๖. ปีตกสิณ กสิณที่ใช้สี
เหลืองเป็นอารมณ์ ๗. โลหิตกสิณ กสิณที่ใช้สีแดงเป็นอารมณ์ ๘. โอทาตกสิณ กสิณที่ใช้สีขาว
เป็นอารมณ์ ๙. อาโลกกสิณ กสิณที่ใช้แสงสว่างเป็นอารมณ์ ๑๐. อากาสกสิณ กสิณที่ใช้ที่ว่างเปล่า
เป็นอารมณ์

อสุภ ๑๐ คือ ซากศพในสภาพต่างๆ ที่ใช้เป็นอารมณ์แห่งสมถกรรมฐาน ได้แก่ ๑. ซากศพ
ที่เน่าพองขึ้นอืด ๒. ซากศพที่มีสีเขียวคลํ้าคละด้วยสีต่างๆ ๓. ซากศพที่มีนํ้าเหลืองไหลเยิ้มอยู่
ตามที่ที่แตกปริออก ๔. ซากศพที่ขาดจากกันเป็น ๒ ท่อน ๕. ซากศพที่ถูกสัตว์ เช่น แร้ง กา สุนัข
จิก ทึ้งกัดแล้ว ๖. ซากศพที่กระจุยกระจาย มือ เท้า ศีรษะ หลุดออกไปข้างๆ ๗. ซากศพที่ถูกสับ
ฟันบั่นเป็นท่อนๆ กระจายออกไป ๘. ซากศพที่มีโลหิตไหลอาบเรี่ยราดอยู่ ๙. ซากศพที่มีหนอน
คลาคลํ่าเต็มไปหมด ๑๐. ซากศพที่ยังเหลืออยู่แต่ร่างกระดูก หรือ กระดูกท่อน
อนุสติ ๑๐ คือ อารมณ์อันควรระลึกถึงเนืองๆ ได้แก่ ๑. พุทธานุสติ ระลึกถึงพระพุทธเจ้า
น้อมจิตระลึกถึงและพิจารณาคุณของพระองค์ ๒. ธัมมานุสติ ระลึกถึงพระธรรม น้อมจิตระลึก
ถึงและพิจารณาคุณของพระธรรม ๓. สังฆานุสติ ระลึกถึงพระสงฆ์ น้อมจิตระลึกถึงและ
พิจารณาคุณของพระสงฆ์ ๔. สีลานุสติ ระลึกถึงศีล น้อมจิตรำ ลึกพิจารณาศีลของตนที่ได้
ประพฤติปฏิบัติ บริสุทธิ์ ไม่ด่างพร้อย ๕. จาคานุสติ ระลึกถึงการบริจาค น้อมจิตระลึกถึงทานที่
ตนได้บริจาคแล้ว ๖. เทวตานุสติ ระลึกถึงเทวดา น้อมจิตระลึกถึงเทวดาทั้งหลาย ๗. มรณสติ
ระลึกถึงความตายอันจะต้องมีมาถึงตนเป็นธรรมดา พิจารณาที่จะให้เกิดความไม่ประมาท ๘.
กายคตาสติ มีสติรู้อยู่ที่กาย กำ หนดพิจารณากายนี้ ให้เห็นว่าประกอบด้วยส่วนต่างๆ อันไม่
สะอาด ไม่งาม น่ารังเกียจ เป็นการรู้เท่าทันสภาวะของกายนี้ มิให้หลงใหลมัวเมา ๙. อานาปาน
สติ มีสติกำ หนดลมหายใจเข้าออก ๑๐. อุปสมานุสติ ระลึกถึงธรรมเป็นที่สงบ ระลึกถึงและ
พิจารณาคุณของพระนิพพาน อันเป็นที่ระงับกิเลสและความทุกข์
พรหมวิหาร ๔ คือ ธรรมที่ต้องมีไว้เป็นหลักใจและกำ กับความประพฤติ จึงจะชื่อว่า
ดำ เนินชีวิตหมดจด และปฏิบัติตนต่อมนุษย์และสัตว์ทั้งหลายโดยชอบ ได้แก่ ๑. เมตตา ความรัก
ใคร่ ปรารถนาดี อยากให้เขามีความสุข ๒. กรุณา ความสงสาร คิดช่วยให้พ้นทุกข์ ๓. มุทิตา
ความยินดีในเมื่อผู้อื่นอยู่ดีมีสุข ๔. อุเบกขา ความวางใจเป็นกลาง ไม่เอนเอียงด้วยรักและชัง
พิจารณาด้วยปัญญาเห็นกรรมที่สัตว์ทั้งหลายกระทำ แล้ว ดีหรือชั่ว ย่อมต้องรับผลของกรรมนั้น
อาหาเรปฏิกูลสัญญา คือการกำ หนดพิจารณาความเป็นปฏิกูลในอาหาร
จตุธาตุววัฏฐาน คือการกำ หนดพิจารณาร่างกายของตนว่าเป็น ธาตุ ๔ ดิน นํ้า ลม ไฟ หา
มีตัวตนไม่

อรูป ๔ คือ อรูปฌาน ๔ ได้แก่ ๑. อากาสานัญจายตนะ ฌานอันกำ หนดอากาศ คือ ช่อง
ว่างหาที่สุดมิได้เป็นอารมณ์ ๒. วิญญาณัญจายตนะ ฌานอันกำ หนดวิญญาณหาที่สุดมิได้เป็น
อารมณ์ ๓. อากิญจัญญายตนะ ฌานอันกำ หนดภาวะที่ไม่มีอะไรๆ เป็นอารมณ์ ๔. เนวสัญญานา
สัญญายตนะ ฌานอันเข้าถึงภาวะมีสัญญาก็ไม่ใช่ ไม่มีสัญญาก็ไม่ใช่เป็นอารมณ์
เหตุที่มีกรรมฐานอยู่ ๔๐ ชนิด ก็เป็นเพราะว่าจริตนิสัยของคนมีอยู่หลายชนิดด้วยกัน ใน
ทางศาสนาแยกไว้อยู่ ๖ ชนิด คือ ๑.ราคจริต ๒. โทสจริต ๓. โมหจริต ๔. สัทธาจริต ๕. พุทธิจริต
๖. วิตกจริต
๑. ราคจริต คือผู้มีราคะเป็นความประพฤติปกติ หนักไปทางรักสวยรักงาม ชอบเห็นของ
สวยๆ งามๆ กรรมฐานคู่ปรับสำ หรับแก้ คือ อสุภะ และ กายคตาสติ คือ การเจริญดูในส่วนที่ไม่
สวยไม่งาม ดูซากศพ ดูอาการ ๓๒ ของร่างกาย หญิงชายที่ชอบกันเพราะเห็นรูปร่างหน้าตาที่
สวยงาม แต่ความเป็นจริงแล้ว ส่วนนี้เป็นเพียงครึ่งเดียวของร่างกาย เวลายังมีชีวิตอยู่ รูปร่างหน้า
ตาก็เป็นอย่างหนึ่ง เวลาตายไปแล้วก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง อวัยวะต่างๆ ที่อยู่ใต้ผิวหนังก็ไม่สวยงาม
การที่จะระงับความฟุ้งซ่านของจิตให้สงบสำ หรับผู้ที่มีราคะจริต จึงต้องเจริญอสุภกรรมฐาน
และ กายคตาสติกรรมฐาน
๒. โทสจริต คือผู้มีโทสะเป็นความประพฤติปกติ หนักไปทางใจร้อน หงุดหงิด
กรรมฐานที่เหมาะ คือ พรหมวิหาร และ กสิณ ควรเจริญเมตตาภาวนา ให้อภัย ไม่จองเวรจอง
กรรมกัน ให้เห็นว่าเป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตาย เป็นพี่เป็นน้องกัน ควรให้อภัยกัน เป็นกรรมฐานที่
ระงับความฟุ้งซ่านของจิตที่เกิดจากความโกรธ คือโทสะ
๓. โมหจริต คือผู้มีโมหะเป็นความประพฤติปกติ หนักไปทางเขลา เหงาซึม งมงาย
กรรมฐานที่เกื้อกูล คือ อานาปานสติ กำ หนดดูลมหายใจเข้าออก หรือยุบหนอพองหนอ หายใจ
เข้าท้องก็พองออกมา หายใจออกท้องก็ยุบเข้าไป วิธีนี้จะช่วยทำ ให้จิตใจสงบได้ ผู้ที่มีโมหจริต
ควรเข้าหาผู้รู้ ศึกษาธรรม สนทนาธรรม ถามปัญหาธรรม เพื่อให้เกิดความรู้ ความฉลาด ความ
เข้าใจที่ถูกต้อง
๔. สัทธาจริต คือผู้มีศรัทธาเป็นความประพฤติปกติ หนักไปทางมีจิตซาบซึ้ง ชื่นบาน
น้อมใจเลื่อมใสโดยง่าย กรรมฐานที่เหมาะ คือ อนุสติ ๖ ข้อต้น ได้แก่ ๑. พุทธานุสติ ๒. ธัมมานุ
สติ ๓. สังฆานุสติ ๔. สีลานุสติ ๕. จาคานุสติ ๖. เทวตานุสติ จะทำ ให้จิตใจสงบลงได้
๕. พุทธิจริต คือผู้มีความรู้เป็นความประพฤติปกติ หนักไปทางใช้ความคิดพิจารณา
กรรมฐานที่เหมาะ คือ มรณสติ อุปสมานุสติ จตุธาตุววัฏฐาน และ อาหาเรปฏิกูลสัญญา มรณสติ
คือการพิจารณาความตาย จตุธาตุววัฏฐาน คือ การพิจารณาความเป็นธาตุ ๔ ของร่างกาย ดิน นํ้า
ลมไฟ พิจารณาว่าร่างกายนี้เกิดมาได้อย่างไร อาศัยอะไรทำ ให้เป็นรูปร่างหน้าตานี้ขึ้นมา และ
เมื่อร่างกายนี้แตกไปแล้ว ดับไปแล้ว จะกลับไปสู่อะไร ถ้าไม่กลับไปสู่ธาตุ ๔ ดิน นํ้า ลม ไฟ
๖. วิตกจริต คือผู้มีวิตกเป็นความประพฤติปกติ หนักไปทางนึกคิดจับจด ฟุ้งซ่าน
กรรมฐานเครื่องแก้ คือ อานาปานสติ หรือ เพ่งกสิณ เวลามีความวิตกอย่าไปคิดถึงเรื่องราวต่างๆ
พยายามกำ หนดดูลมหายใจ ให้มีสติรู้อยู่กับลมหายใจเข้าออก แล้วจิตก็จะค่อยๆ สงบลงๆ เมื่อจิต
สงบนิ่งลงไปแล้ว ความวิตกกังวลต่างๆ ก็จะหายไป
จิตโดยธรรมชาติแล้วจะอยู่เฉยๆ ไม่ได้ จะอยู่นิ่งไม่ได้ เหมือนกับรถที่วิ่งลงภูเขา อยู่เฉยๆ
จะให้มันหยุดไม่ได้ ถ้าไม่เหยียบเบรคแล้ว ไม่มีทางที่จะหยุดได้ฉันใด จิตก็เหมือนกัน ถ้าไม่ควบ
คุมผูกจิตไว้กับกรรมฐาน ใดกรรมฐานหนึ่งโดยมีสติเป็นเชือกผูกไว้แล้ว จิตจะไม่สงบเลย จึง
ต้องอาศัยการบำ เพ็ญสมถภาวนา เลือกกรรมฐานที่ถูกจริตเป็นเครื่องควบคุมจิต มัดจิตไว้ไม่ให้
ลอยไปไหน เหมือนกับเรือ ถ้าไม่เอาเชือกผูกไว้กับหลัก เรือก็จะไหลไปกับนํ้าฉันใด จิตถ้าไม่มี
กรรมฐานผูกไว้แล้ว จิตก็จะลอยไปตามอารมณ์ต่างๆ ถ้าจิตลอยไปกับอารมณ์ต่างๆ ก็จะไม่มี
ความสงบ เมื่อไม่มีความสงบก็จะไม่มีความสุข ไม่มีความสบาย ไม่มีความอิ่ม
ผู้ที่ปรารถนาความสุขของใจ จึงต้องเจริญสมถภาวนาในเบื้องต้นก่อน คือต้องทำ จิตให้
สงบให้ได้โดยอาศัยกรรมฐานชนิดใดชนิดหนึ่งที่ถูกกับจริต ถ้าเป็นราคจริตก็ให้เจริญอสุภ
กรรมฐาน ถ้าเป็นโทสจริตก็ให้เจริญเมตตาภาวนา ถ้าเป็นโมหจริตก็ให้ใช้อานาปานสติ หรือ ยุบ
หนอพองหนอ ถ้าเป็นสัทธาจริต ก็ให้เจริญพุทธานุสติ ธัมมานุสติ หรือสังฆานุสติ ถ้าเป็นพุทธิ
จริต ก็ให้เจริญมรณสติ ถ้าเป็นวิตกจริตก็ให้เจริญอานาปานสติเป็นต้น การที่จะเจริญกรรมฐาน
ให้เป็นผลได้ ต้องมีสติ ถ้าไม่มีสติแล้วเจริญไปเท่าไร เช่นบริกรรมคำ ว่า พุทโธๆๆ แต่ในขณะ
เดียวกันก็ไปคิดเรื่องอื่น ถ้าทำ อย่างนี้แล้วจิตจะไม่สงบ ต้องมีสติอยู่กับคำ บริกรรม ถ้าบริกรรมคำ
ว่าพุทโธๆๆ ก็ขอให้อยู่กับคำ ว่าพุทโธๆๆ พุทโธๆๆ อย่างเดียว ให้จิตเป็นปัจจุบัน ให้จิตอยู่กับคำ
ว่าพุทโธๆๆ อย่าให้จิตลอยไปในอดีต หรือลอยไปในอนาคต หรือไปคิดเรื่องอื่นจิตจะต้องอยู่กับ
องค์กรรมฐาน ถ้าอยู่กับองค์กรรมฐานอย่างต่อเนื่องแล้ว จิตจะ ค่อยๆ สงบลง ค่อยๆ สงบลง ใน
ที่สุดก็จะสงบนิ่งไป

การสงบของจิตเป็นไปได้สองลักษณะ บางจริตจะสงบลงอย่างรวดเร็วเหมือนกับคนตก
หลุมตกบ่อ บางคนเพียงแต่บริกรรมคำ ว่าพุทโธๆๆ ไปได้ไม่กี่นาที จิตก็รวมลงเป็นหนึ่ง เป็น
เอกัคตารมณ์ เหมือนกับคนเดินตกบ่อ วูบลงไปแล้วก็นิ่ง อย่างนี้เป็นลักษณะหนึ่ง อีกลักษณะ
หนึ่ง คือค่อยๆ นิ่ง ค่อยๆ สงบลงไป เหมือนกับขับรถแล้วค่อยๆ ชะลอความเร็วลง เหยียบเบรก
ไปเรื่อยๆ จนรถจอดนิ่งในที่สุด นี่คือการสงบของจิต มีสองลักษณะด้วยกัน ความสงบของจิต
เรียกว่าสมาธิ หรือ การรวมของจิต ซึ่งมีอยู่สองแบบด้วยกัน ถ้ารวมชั่วขณะหนึ่งแล้วถอนออกมา
เรียกว่า ขณิกสมาธิ ถ้ารวมลงแล้วตั้งอยู่นานเป็นชั่วโมง เรียกว่า อัปปนาสมาธิ
สมาธิทั้งสองแบบนี้ เมื่อรวมลงไปแล้วจะไม่มีการคิดปรุง มีอยู่อารมณ์เดียวคือ เป็น
อุเบกขา มีสักแต่ว่ารู้อยู่ เมื่อออกจากสมาธินี้แล้ว จิตจะมีพลัง มีความสดชื่นเบิกบาน มีความอิ่ม
พร้อมที่จะปฏิบัติธรรมขั้นต่อไป คือวิปัสสนา การพิจารณาดูสภาวธรรมทั้งหลายให้เห็นว่าเป็น
อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มีสมาธิอีกแบบหนึ่งที่เรียกว่าอุปจารสมาธิ อุปจารสมาธิในทางปฏิบัติ
ท่านแสดงไว้ว่า จิตรวมลงเป็นหนึ่งแล้วแต่ไม่นิ่งอยู่ในความสงบ แต่จะถอยออกมาเล็กน้อย แต่
ไม่ถึงกับขั้นปกติจิต แล้วรับรู้เรื่องราวต่างๆ เปรียบเหมือนกับคนนอนหลับแล้วฝัน คนที่นอน
หลับแล้วไม่ฝันเลยเปรียบเหมือนกับการเข้าอัปปนาสมาธิ หรือ ขณิกสมาธิ ไม่มีความคิดปรุง
แต่งเลย
ผู้ที่ได้อุปจารสมาธิจะออกไปรับรู้เรื่องราวต่างๆ ทั้งภายนอกและภายใน เรื่องราวภายใน
ก็เป็นเรื่องราวของตนเอง เรื่องราวภายนอกก็หมายถึงกายทิพย์ต่างๆ เทพ เปรต อสุรกาย จะเกิด
ขึ้นในอุปจารสมาธิ อุปจารสมาธิเป็นสมาธิที่ไม่เกื้อหนุนต่อการปฏิบัติวิปัสสนา เมื่อออกจาก
อุปจารสมาธิแล้ว จิตจะไม่มีพลัง ไม่สดชื่น เบิกบาน เพราะจิตไม่ได้พักผ่อนนั่นเอง เปรียบ
เหมือนกับคนนอนหลับ คนที่นอนหลับสนิทเวลาตื่นขึ้นมาแล้ว จะมีความสดชื่น มีกำ ลังวังชา
ไม่เหมือนกับคนที่นอนหลับแล้วฝันไป เวลาตื่นขึ้นมาจะไม่ค่อยสดชื่นเท่าไร เพราะไม่ได้พักเต็ม
ที่

ในเบื้องต้นสมาธิที่ควรจะเจริญให้มาก คือ ขณิกสมาธิ กับ อัปปนาสมาธิ เวลาจิตรวมลง
แล้ว ถ้าเกิดจะออกไปเป็นอุปจารสมาธิ ให้ดึงจิตไว้ให้อยู่กับตัว อยู่กับผู้รู้ อย่าให้จิตออกไปรับรู้
เรื่องราวต่างๆ เพราะจะทำ ให้เสียได้ จะไม่นำ ไปสู่การปฏิบัติขั้นต่อไป คือขั้นวิปัสสนา แต่ถ้าได้
อัปปนาสมาธิ หรือ ขณิกสมาธิแล้ว เป็นจิตที่รวมแล้วนิ่งอยู่ เวลาออกจากสมาธิจะเป็นจิตที่สด
ชื่นเบิกบาน อารมณ์ต่างๆ เบาบาง ถึงแม้จะมีอยู่แต่ก็ไม่รุนแรง คืออารมณ์โลภ โกรธ หลง จะเบา
บาง แต่ยังไม่หมด จึงต้องอาศัยการเจริญวิปัสสนาเป็นเครื่องทำ ลายต่อไป ด้วยการพิจารณาให้
เห็นสภาวธรรมทั้งหลาย ว่าเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่เป็นตัวตน แล้วจิตจะไม่มีความยินดีกับ
สิ่งต่างๆ ความโลภก็จะไม่เกิดขึ้น ความโกรธก็จะไม่เกิดขึ้น ความหลงก็จะหมดไป นี่คือการ
เจริญจิตตภาวนาเพื่อชำ ระจิต เพื่อให้ใจมีความสงบ มีความสุข
คนเราทุกวันนี้ไม่มีความสุขกัน ก็เพราะกิเลสในใจเป็นตัวก่อกวน เวลาโลภก็อยู่เฉยๆไม่
ได้ เวลาโกรธก็อยู่เฉยๆไม่ได้ เวลาหลงก็อยู่เฉยๆไม่ได้ ต้องออกไปหาสิ่งต่างๆ ตามคำ สั่งของ
กิเลส ถ้าโลภก็ต้องออกไปหาข้าวหาของหาโน่นหานี่ ถ้าโกรธก็ต้องไปมีเรื่องมีราวกับคนนั้นคน
นี้ ถ้าหลงก็ต้องไปทำ เรื่องนั้นทำ เรื่องนี้ นี่คือลักษณะของใจที่มีกิเลสตัณหาครอบงำ อยู่ ถ้าชำ ระ
จิตด้วยการเจริญจิตตภาวนา ให้สะอาดหมดจดไม่มี ความโลภ ความโกรธ ความหลง เหลืออยู่
แล้ว ใจก็จะสงบ อยู่เป็นสุข มีความอิ่ม ความพอ ไม่มีความหิว ไม่มีความอยากกับอะไรอีกต่อไป
อย่างที่พระพุทธเจ้ากับพระอรหันตสาวกทั้งหลาย ได้เจริญจิตตภาวนาจนจิตสะอาดหมดจด สิ้น
จากความโลภ ความโกรธ ความหลงแล้ว ท่านก็ไม่ไปแสวงหาอะไรอีกต่อไป ไม่ว่าลาภ ยศ
สรรเสริญ กามสุขต่างๆ ที่มีอยู่ในโลกนี้ ท่านไม่มีความยินดี เพราะท่านเห็นด้วยปัญญาแล้วว่าสิ่ง
ต่างๆเหล่านี้ แทนที่จะเป็นสุขกลับเป็นทุกข์ มีสิ่งใดก็ต้องทุกข์กับสิ่งนั้น ไม่มีเสียได้จะสบายกว่า
มีเงินมีทองก็ต้องทุกข์กับเงินกับทอง มีข้าวของก็ต้องทุกข์กับข้าวของ เพราะอะไร เพราะความ
ห่วง เพราะความหวง ความเสียดาย เวลามีก็อยากให้มีอยู่ไปนานๆ ก็เลยต้องคอยดูแลรักษา การดู
แลรักษาก็เป็นงาน เป็นภาระ เป็นความทุกข์ขึ้นมา แต่ถ้าไม่มีแล้วก็สบายใจ อยู่ไปวันๆ หนึ่งพอมี
พอกินก็พอแล้ว ความสุขที่แท้จริงอยู่ในใจที่สงบระงับจากกิเลสตัณหาทั้งปวง การแสดงเห็นว่า
สมควรแก่เวลา ขอยุติไว้เพียงเท่านี้




บันทึกการเข้า
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


บทความและไฟล์ภาพ ในเว็บไซต์แห่งนี้อาจนำมาจากเว็บไซต์อื่นๆ ที่ทีมงานคิดว่ามีประโชยน์ต่อผู้อ่าน โดยให้ผู้อ่านเกิดควมบันเทิง และให้ความรู้ โดยที่เราจะให้เครดิตทุกครั้งที่นำมา หากไฟล์ภาพหรือบทความใด ที่เจ้าของลิขสิทธิ์ไม่ต้องการให้นำมาแสดง โปรดแจ้งมาที่ tumcomputer@hotmail.com ทางทีมงานจะได้นำบทความนั้นออกทันที ขอบคุณครับ


เว็บนี้จัดทำโดย นายสุรัตน์ ศรลัมภ์ และครอบครัว อุทิศบุญให้เจ้ากรรมนายเวร และผู้มีพระคุณ

HTML Hit Counters
Powered by SMF 1.1.17 | Simple Machines|Copyright © 20010 BY : thammaonline.com
บทความธรรมะรวมเรื่องกฏแห่งกรรมสมาธิ วิปัสนากรรมฐานพลังจิตกระดานถาม-ตอบ Sitemap

Google มาเยี่ยมเว็บเมื่อ เมษายน 04, 2024, 05:59:03 PM