เมษายน 20, 2024, 03:23:12 AM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา ปฏิทิน เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ผู้ใดเห็นปฎิจจสมุปบาท ผู้นั้นเห็นธรรม  (อ่าน 11544 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
ประวิต
พุทธบุตร
*****

พลังความดี : 19


อายุ: 52
กระทู้: 265
สมาชิก ID: 1634


อีเมล์
« เมื่อ: กันยายน 26, 2012, 08:52:21 PM »

Permalink: ผู้ใดเห็นปฎิจจสมุปบาท ผู้นั้นเห็นธรรม
ผู้ใดเห็นธรรม  ผู้นั้นเห็น  ตถาคต  ผู้ใดเห็นตถาคต  ผู้นั้นเห็นปฎิจจสมุปบาท
..สมัยหนึ่งพระผู้มีภาคเจ้าประทับอยูี่ ณ วิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ณ ที่นั้นแล พระผูุ้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมาแล้วตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย. ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า พระพุธเจ้าข้า พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสพระพุทธพจน์นี้ว่า
   ดูก่อนก่อนภิกษุทั้งหลาย เราตถาคตจักแสดง จักจำแนกปฏิจจสมุปบาทแก่พวกเธอ พวกเธอจงฟังปฏิจจสมุปบาทนั้น จงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าว ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า อย่างนั้น พระพุธทเจ้าข้า พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสว่า
   ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ปฏิจจสมุปบาทเป็นไฉน ?  
   ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะอวิชาเป็นปัจจัยจึงมีสังขาร เพราะสังขารเป็นปัจัยจึงมีวิญญาณ เพราะวิญญาณเป็นปัจจัยจึงมีนามรูป เพราะนามรูปเป็นปัจจัยจึงมีสฬายตนะ เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัยจึงมีผัสสะ เพราะผัสสะเป็นปัจจัยจึงมีเวทนาเพราะเวทนาเป็นปัจจัยจึงมีตัณหา เพราะตัณหาเป็นปัจจัยจึงมีอุปทาน เพราะอุปาทานเป็นปัจจัยจึงมีภพ เพราะภพเป็นปัจจัยจึงมีชาติ เพราะชาติเป็นปัจจัยจึงมีมรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัสและอุปายาส ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้
  ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย  ก็ชรามรณะเป็นไฉน  ความแก่  ภาวะของความแก่ฟันหลุด  ผมหลุด  หนังเหี่ยวย่น  ความเสื่อมแห่งอายุ  ความแก่หง่อมแห่งอินทรีย์ในหมู่สัตว์นั้นๆ ของเหล่าสัตว์นั้นๆ  นี้เรียกว่าชรา
  ก็มรณะเป็นไฉน  ความเคลื่อน  ภาวะของความเคลื่อน  ความแตกทำลาย  ความหายไป  มฤตยู  ความตาย  การทำกาละ  ความทำลายแห่งขันธ์  ความทอดทิ้งแห่งซากศพไว้  ความขาดดิ้นแห่งตินทรีย์  ในหมู่สัตว์นั้นๆ ของเหล่าสัตว์นั้นๆ นี้เรียกว่า  มรณะ
  ก็ชาติเป็นไฉน  ความเกิด  ความก่อเกิด  ความยั่งลงเกิด  ความบังเกิด  ความเกิดโดยเฉพาะ  ความปรากฎแห่งขันธื  ความได้แห่งอายาตนะครบ  ในหมู่สัตว์นั้นๆ  แห่งหมูุุ่สัตว์นั้นๆ  นี้เรียกว่าชาติ
 ก็ภพเป็นไฉน  ภพ3 เหล่านี้  คือ  กามภพ  รูปภพ  อรูปภพ  นี้เรียกว่าภพ
 ก็อุปาทานเป็นไฉน  อุปาทาน 4  เหล่านี้  คือ  กามุปาทาน  ทิฎฐุปาทาน  สีลัพพตุปาทาน  อัตตวาทุปาทาน  นี้เรียกว่า  อุปาทาน
     ก็ตัณหาเป็นไฉน  ตัณหา 6 หมวด  เหล่านี้คือ  รูปตัณหา  สัททตัณหา  คันธตัณหา  รสตัณหา  โผฐัพพตัณหา  ธัมมาตัณหา  นี้เรียกว่าตัณหา
  ก็เวทนเป็นไฉน  เวทนา  6 หมวดเหล่านี้  คือ  จักขุสัมผัสสชาเวทนา  โสตสัมผัสสชาเวทนา  ฆานสัมผัสสชาเวทนา  ชิวหาสัมผัสสชาเวทนา  กายสัมผัสสชาเวทนา  มโนสัมผัสสชาเวทนา  นี้เรียกว่า  เวทนา
  ก็ผัสสะเป็นไฉน  ผัสสะ 6 หมวดเหล่านี้คือ  จักษุสัมผัส  โสตสัมผัส  ฆานสัมผัส  ชิวหาสัมผัส  กายสัมผัส  มโนสัมผัส  นี้เรียกว่า  ผัสสะ
  ก็สฬายตนะเป็นไฉน  อายตนะ 6 คือ  ตา  หู  จมูก  ลิ้น  กาย  ใจ  
นี้เรียกว่า  สฬายตนะ
  ก็นามรูปเป็นไฉน  เวทนา  สัญญา  เจตนา  ผัสสะ  มนสิการ  นี้เรียกว่านาม  มหาภูตรูป  ที่อาศัยภูตรูป4  นี้เรียกว่ารูป  สองสิ่งเรียกว่านามรูป
  ก็วิญญาณเป็นไฉน  วิญญาณ 6 เหล่านี้คือ  จักษุวิญญาณ  โสตวิญญาณ  ฆานวิญญาณ  ชิวหาวิญญาณ  กายวิญญาณ  มโนวิญญาณ  นี้เรียกว่า  วิญญาณ
  ก็สังขารเป็นไฉน  สังขาร 3 เหล่านี้คือ  กายสังขาร  วจีสังขาร  จิตตสังขาร  นี้เรียกว่าสังขาร
  ก็อวิชาเป็นไฉน  ความไม่รู้ในทุกข์  ความไม่รู้ในเหตุเกิดทุกข์  ความไม่รู้ในความดับทุกข์  ความไม่รู้ในปฎิปทาให้ถึงความดับทุกข์  นี้        เรียกว่า  อวิชา
               ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย  เพราะอวิชาเป็นปัจจัยจึงมีสังขาร  เพราะสังขารเป็นปัจจัยจึงมีวิญญาณ  เพราะวิญญณานเป็นปัจจัยจึงมีนามมรูป  เพราะนามรูปเป็นปัจจัยจึงมีสฬายตนะ  เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัยจึงมีผัสสะ  เพราะผัสสะเป็นปัจจัยจึงมีเวทนา  เพราะเวทนาเป็นปัจจัยจึงมีตัณหา  เพราะตัณหาเป็นปัจจัยจึงมีอุปาทาน  เพราะอุปาทานเป็นปัจจัยจึงมีภพ  เพราะภพเป็นปัจจัยจึงมีชาติ  เพราะชาติเป็นปัจจัยจึงมีชรา  มรณะ  โสกะ  ปริเทวะ  ทุกข์  โทมนัสและอุปายาส  ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์มวลนี้  ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้
         red,2,300] ก็เพราะอวิชานั่นแหละดับ  โดยไม่มีส่วนเหลือ  สังขารจึงดับ   เพราะสังขารดับวิญญาณจึงดับ   เพราะวิญญาณดับนามรูปจึงดับ  เพราะนามรูปดับสฬายตนะจึงดับ   เพราะสฬายตนะดับผัสสะจึงดับ   เพราะผัสะดับเวทนาจึงดับ   เพราะเวทนาดับตัณหาจึงดับ   เพราะตัณหาดับอุปาทานจึงดับ   เพราะอุปาทานดับภพจึงดับ   เพราะภพดับชาติจึงดับ   เพราะชาติดับ  ชรา มรณะ โสกะปริเทวะทุกข์โทมนัสและอุปายาสจึงดับ  ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งมวลย่อมมีด้วยประการอย่างนี้
  




บันทึกการเข้า
guk
ผู้ดูแลบอร์ด
เด็กใหม่
*****

พลังความดี : 0


เพศ: หญิง
อายุ: 32
กระทู้: 25
สมาชิก ID: 2218


« ตอบ #1 เมื่อ: ตุลาคม 13, 2012, 05:25:55 PM »

Permalink: ผู้ใดเห็นปฎิจจสมุปบาท ผู้นั้นเห็นธรรม
สาธุ ๆ
บันทึกการเข้า
ประวิต
พุทธบุตร
*****

พลังความดี : 19


อายุ: 52
กระทู้: 265
สมาชิก ID: 1634


อีเมล์
« ตอบ #2 เมื่อ: ตุลาคม 23, 2012, 09:18:36 PM »

Permalink: ผู้ใดเห็นปฎิจจสมุปบาท ผู้นั้นเห็นธรรม
วิชาอันเป็นต้นตอของหลักธรรม...เป็นวิชาที่ทำลายอวิชาได้ตามธรรมชาติ...เป็นหลักการของชาวพุทธที่ควรขยายจำหน่ายจ่ายแจกเพื่อทำความเข้าใจให้แจ่มแจ้ง
ก่อนที่จะสมาทานเป็น..พุทธบริษัท..วัตถุประสงค์ของศาสนาจะได้ไม่เพี้ยนมากจนเกินไป..ไม่ใช่มีแต่คำปลอบใจ  เหมือนคำสอนคณาจารย์รุ่นใหม่ๆที่เปลี่ยนไปตามกระแสโลก.....ควรขยายครับท่านสาธุชนผู้เจริญทั้งหลาย...สัมมาทิฎฐิ...
บันทึกการเข้า
ประวิต
พุทธบุตร
*****

พลังความดี : 19


อายุ: 52
กระทู้: 265
สมาชิก ID: 1634


อีเมล์
« ตอบ #3 เมื่อ: พฤศจิกายน 03, 2012, 08:12:03 PM »

Permalink: ผู้ใดเห็นปฎิจจสมุปบาท ผู้นั้นเห็นธรรม
หลักธรรมที่ผู้รู้ทั้งหลายลืมในปัจจุบัน  เห็นแต่คำสอนบ้าสวรรค์  เติมตัณหา  เวียนว่ายตายเกิดไม่จบสิ้น  และยังทำควมเศร้าหมองในศาสนาให้เพิ่มมากขึ้น  เห็นแล้วเศร้าใจในคณาจารย์รุ่นใหม่  สร้างศาลาวัดหลายล้านบาท  เงินที่เ้ขาสาธุจะตามใช้นี้เขาหมดหรือเปล่า  มัวแต่เทศหลอกให้เขาบ้าสวรรค์ในศัทธา  จะตามใช้นี้สาธุอีกกี่ชาติ  สำรวมบา้างท่านทั้งหลาย  ใยมัวเพลินแต่การสร้างวัตถุ  สัจจธรรมที่ผู้เป็นพ่อสั่งเอาใว้ลืมหมด  ความเสื่อมที่ตามมาท่านรับไหวหรือเปล่า  ท่านจะต้องเวียนว่ายตายเกิดตามใข้นี้เงินสาธุของชาวบ้านอีกกี่ชาติ  ท่านรู้หรือเปล่าว่าเวลาเขาถวายทานเขาอธิฐานอะไร  ทำไมไม่สนใจในกำลังของการปลง  ในกรรมฐานมุ่งสู่เป้าหมายในศาสนา  ทั้งๆที่มีโอกาศในชีวิตในภพของมนุษย์  มันหายากนะท่านทั้งหลาย  เรื่องเทศ  เรื่องสอนคนอื่นมันเรื่องจิ๋บๆ เดี๋ยวค่อยทำก็ได้  ทำตัวเองให้นิ่ง  ให้แจ่มแจ้ง  ให้เข้าใจในแก่นแท้ของชีวิตของตนเสียก่อน  เหมือนคำสั่งของพุทธองค์.........มันจะเสียหายแม้เราเองยังไม่รู้  แล้วจะสอนคนอื่นๆให้รู้ในแนวทางที่ถูกได้ยังงัย...สำรวมแล้วกรรมมันจะเบาบาง...ศีลอย่างเดียวมันไม่พอหรอก...ศาสนามีตั้งองค์สามที่ควรกระทำให้ถึงพร้อม.....สัมมาฐิธิ...
บันทึกการเข้า
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


บทความและไฟล์ภาพ ในเว็บไซต์แห่งนี้อาจนำมาจากเว็บไซต์อื่นๆ ที่ทีมงานคิดว่ามีประโชยน์ต่อผู้อ่าน โดยให้ผู้อ่านเกิดควมบันเทิง และให้ความรู้ โดยที่เราจะให้เครดิตทุกครั้งที่นำมา หากไฟล์ภาพหรือบทความใด ที่เจ้าของลิขสิทธิ์ไม่ต้องการให้นำมาแสดง โปรดแจ้งมาที่ tumcomputer@hotmail.com ทางทีมงานจะได้นำบทความนั้นออกทันที ขอบคุณครับ


เว็บนี้จัดทำโดย นายสุรัตน์ ศรลัมภ์ และครอบครัว อุทิศบุญให้เจ้ากรรมนายเวร และผู้มีพระคุณ

HTML Hit Counters
Powered by SMF 1.1.17 | Simple Machines|Copyright © 20010 BY : thammaonline.com
บทความธรรมะรวมเรื่องกฏแห่งกรรมสมาธิ วิปัสนากรรมฐานพลังจิตกระดานถาม-ตอบ Sitemap

Google มาเยี่ยมเว็บเมื่อ มีนาคม 28, 2024, 06:46:27 AM