เมษายน 19, 2024, 05:32:35 PM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา ปฏิทิน เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: วิธีเจริญเข้าสู่สมาธิจิตเพื่อให้ใจเราสงบโดยง่าย  (อ่าน 9545 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
เกียรติคุณ
ผู้ปฏิบัติธรรม
*****

พลังความดี : 65


เพศ: ชาย
อายุ: 46
กระทู้: 958
สมาชิก ID: 841


« เมื่อ: มกราคม 23, 2013, 09:04:54 AM »

Permalink: วิธีเจริญเข้าสู่สมาธิจิตเพื่อให้ใจเราสงบโดยง่าย
วิธีเจริญเข้าสู่สมาธิจิตเพื่อให้ใจเราสงบโดยง่าย

ขอนอบน้อมแด่ พระพุทธเจ้า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
ขอนอบน้อมแด่พระธรรม ที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ดีแล้ว
ขอนอบน้อมแด่พระสงฆ์ ผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ พระเถระ พระอริยะเจ้าทั้งหลาย  ผู้เป็นสาวกของพระพุทธเจ้า ผู้ที่ควรแก่การเคารพนพน้อม

ธรรมทั้งหลายทั้งปวงที่ผมโพสท์กล่าวทั้งหมด เป็นธรรมที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้และตรัสไว้ดีแล้ว ประเสริฐแล้ว หาประมาณมิได้ พึงปฏิบัติและให้ผลได้ไม่จำกัดกาล เป็นธรรมเพื่อให้เราทั้งหลายได้เห็นทางพ้นทุกข์ จนถึงที่สุดแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ผมได้นำธรรมอันประเสริฐทั้งหลายเหล่านั้นมาพิจารณาปฏิบัติ กรรมฐาน สมถะ และ วิปัสนา ทำให้ผมได้รู้เห็นและขยายความข้อธรรมและแนวปฏิบัติต่างๆตามจริต และ สติกำลังร่วมกับปัญญาของผมได้ดังนี้...หากธรรมที่ผมได้โพสท์กล่าวนั้นมีความผิดพลาด ผิดเพี้ยน ไม่เป็นจริงด้วยประการใดๆ ขอท่านทั้งหลายพึงรู้ว่าธรรมนั้นมาจากความคิดพิจารณาด้วยสติปัญญาอันน้อยนิดของผมแล้วกลั่นกรองออกมาเป็นแนวทางปฏิบัตินั้นๆ หากเป็นคุณประโยชน์แก่ท่านทั้งหลายให้พึงระลึกรู้โดยจริงว่า ธรรมอันประเสริฐทั้งหลายทั้งปวงเหล่านั้นแล เป็นธรรมที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้และตรัสสอน ไม่ใช่ธรรมของผมแต่อย่างใด

บัดนี้ข้าพเจ้าขอแสดงธรรมเรื่อง
วิธีเจริญเข้าสู่สมาธิจิตเพื่อให้ใจเราสงบโดยง่าย ตามวิธีที่ผมศึกษาเรียนรู้ปฏิบัติมา เพื่อเป็นประโยชน์ในการดำเนินไปในธรรมดังนี้


วิธีการเจริญเข้าสู่สมาธิจิตนี้ เกิดขึ้นจากเมื่อผมได้กัมมัฏฐานแล้วได้รู้ได้เห็นในกัมมัฏฐานหลายอย่างทั้งสมถะและปรมัตถธรรม แต่เพราะเห็นมากก็กลายเป็นผู้ถืออุปาทานในนิมิตหรือสิ่งที่รู้เหฟ็นนั้นๆทำให้หลงทางอยู่ และ เมื่อเข้าสมาธิก็ติดคิดในสภาพที่รับรู้นั้นๆไว้อยู่เป็นประจำจนฟุ้งซ่านไปไม่เป็นสมาธิ ผมจึงได้เสาะหาวิธีทางการปฏิบัติต่างๆที่ครูบาอาจารย์และพระอริยะเจ้าหลายท่านชี้่แนะไว้เพื่อตัดคตวามฟุ้งซ่านใดๆออกจากใจขณะทำสมาธิ จนไปพบกับวิธีที่เรียบง่าย ไม่บังคับจิต ไม่ทำให้ฝืนจิต แต่ทำให้สามารถเข้าสู่สมาธิจิตได้โดยง่าย และ สามารถทรงสภาพของสมาธิจิตนั้นได้นานตามลำดับในแต่ละขั้นสมาธิจิต ซึ่งวิธีนี้ผมได้ไปอ่านพบจากแนวทางการสอนปฏิบัติกัมมัฏฐานของหลวงปู่ฤๅษี หรือ พระราชพรหมญาณ แต่ที่รู้มานั้นเป็นเพียงแค่พื้นฐานของคำง่ายๆที่ว่า "ทรงอารมณ์"

ตาม Link นี้ครับ http://www.praruttanatri.com/v1/spec...hudong/33.html

ซึ่งอาจเป็นเหตุให้แนวทางที่จะกล่าวต่อไปนี้ไม่ตรงกับที่หลวงปู่ท่านสอนนัก แต่เป็นการอ้างอิงอาศัยวิถีของท่านร่วมกับสิ่งที่ผมปฏิบัติอยู่เป็นประจำตามจริตนิสัยของผมครับ


วิธีเจริญเข้าสู่สมาธิจิตเพื่อให้ใจเราสงบโดยง่าย

1. เวลาทำสมาธิภาวนา ให้กระทำใน นั่ง ยืน เดิน นอน ตามแต่ที่เราพอใจหรือเหมาะสม
2. เมื่อเริ่มทำสมาธิให้กำหนดลมหายใจเข้าออกตามปกติ จะบริกรรมเช่นใดก็ตามแต่จะ พุทธ-โธ หรือ ยุบ-พอง หรือ ใดๆก็ตามแต่ที่จริตเราชอบ
3. ระลึกถึงสภาพจิตที่เป็นกุศลจิต คือ มีความสงบ อบอุ่น ผ่องใส ไม่ติดข้องใจในสิ่งใด มีความเบาบาง ใสสว่าง
4. ระลึกจิตให้ทรงอารมณ์ในสภาพที่เป็นกุศลนี้ให้ตั้งอยู่ ให้คงอยู่ซักระยะ ระลึกเข้าความเบาสบาย ผ่องใส ไม่ติดข้องใจไว้ เพื่อไม่เ็ป็นการจดจ้องในอารมณ์ จะทำให้ปวดหัวได้
5. เมื่อทรงอารมณ์เข้าในสภาวะที่เป็นกุศลจิตนี้ สภาพจิตที่เป็นตัวรู้ของเรามันจะรู้สภาพปรมัตถธรรมที่เกิดนี้ของเรา แล้วตั้งจิตทรงอารมณ์ไว้ซักระยะ
6. เมื่อตัวรู้เกิดแก่จิต เราจะรู้ด้วยตัวเองทันทีว่าขณะนี้กำลังจิตเราพอที่จะเคลื่อนระดับเข้าสู่สมาธิจิตที่สูงขึ้นหรือไม่ กำลังจิตเต็มที่ในขึ้นนั้นแล้วหรือยัง
7. หากทรงอารมณ์จิตอยู่แล้วจิตไปรับรู้ส่วนใดให้สภาพจิตของเราหลุดจากอารมณ์ที่เราทรงไว้อยู่เมื่อตัวรู้ว่าหลุดเกิดก็ให้เราระลึกถึงสภาพจิตที่เป็นอยู่ก่อนจะหลุดนั้นแล้วตั้งจิตเข้าทรงอารมณ์ใหม่ ทำเช่นนี้ไปเรื่อยๆจนกว่าตัวรู้เกิดรู้ว่ากำลังจิตในสมาธิจิตขณะนั้นเป็นอย่างไร มีกำลังมากพอจะเคลื่อนไปในระดับต่อไปหรือไม่
8. เมื่อตัวรู้ รู้ว่าจิตเรามีกำลังพอที่จะเคลื่อนเข้าสู่สมาธิที่มีความละเอียดสงบมากขึ้น ก็ให้ระลึกถึงสภาพสมาธิจิตที่สูงขึ้นที่มีความสงบ ผ่องใส ปรุงแต่งเบาบางลง มีตัวรู้เกิดขึ้นสืบต่อเนื่องรู้สภาพจิตนั้นๆที่กำลังดำเนินไปอยู่

- ทำเช่นนี้ไปเรื่อยๆ จะสามารถเข้าสู่ อุปจาระสมาธิจิตได้ง่ายเป็นขั้นต่ำ มีสติหรือตัวรู้เกิดขึ้นเสมอๆเนืองๆ สืบไปจนถึงระดับปฐมฌาณที่เป็นเอกัคตาต่อไปในระดับสมาธิจิตที่สูงขึ้นๆไปจนสภาพจิตตัดการรับรู้ทางกาย




« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มกราคม 23, 2013, 09:28:26 AM โดย เกียรติคุณ » บันทึกการเข้า
เกียรติคุณ
ผู้ปฏิบัติธรรม
*****

พลังความดี : 65


เพศ: ชาย
อายุ: 46
กระทู้: 958
สมาชิก ID: 841


« ตอบ #1 เมื่อ: มกราคม 23, 2013, 09:18:55 AM »

Permalink: วิธีเจริญเข้าสู่สมาธิจิตเพื่อให้ใจเราสงบโดยง่าย
วิธีตัดการรับรู้ทาง หู ตา จมูก ลิ้น กาย ใจ แบบง่ายๆ

หากเรากำลังเจริญกัมมัฏฐานอยู่แล้วเกิดจิตไปรับรู้จับต้องอารมณ์ที่รู้ทาง หู ตา จมูก ลิ้น กาย ใจ(ใจในที่นี้หมายถึงความนึกคิดปรุงแต่งจิตใดๆ) ให้ระลึกรู้พิจารณาดังนี้ครับ

1. เมื่อได้ยินเสียง ได้มองเห็น ได้รู้กลิ่น ได้รู้รส ได้รับกระทบสัมผัสทางกาย(โผฐัพพะ เช่น คัน เจ็บ ปวด ฯลฯ) ได้ปล่อยจิตไหลไปตามความนึกคิดปรุงแต่งใดๆ(ธัมมารมณ์ เช่น ตรึกนึกคิดปรุงแต่ง จิตคล้อยตามความปรุงแต่งนั้นๆเป็นต้น จิตส่งออกนอก) เมื่อรู้ว่าสิ่งใดสิ่งหนึ่งนี้เกิดขึ้นแก่เรา ก็ให้วางใจไว้ก่อน ไม่ต้องไปคิดว่าส่งจิตออกนอกแล้ว ไม่อยู่กับสมาธิแล้วตัดจิตบอกไม่เอาๆแล้วรีบกลับมาเข้าสมาธิ เพียงแต่เมื่อเรารู้สิ่งนี้เกิดขึ้นนี้แล้วให้พิจารณาดังนี้ว่า เพราะเรามีอาการทั้ง 32 ประการนี้เป็นเบื้องต้น เพราะเรามี หู ตา จมูก ลิ้น กาย ใจ นี้เป็นปกติอยู่ การได้ยินเสียง ได้เห็นรูป ได้รู้รส ได้รู้กลิ่น ได้รูการกระทบสัมผัสทางกาย เกิดความตรึกนึกคิดปรุงแต่งจิต สิ่งเหล่านี้จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่เราจะรับรู้ ไม่รู้มันก็ผิดปกติของกายที่ครบ 32 ประการ มันจึงรู้เป็นธรรมดา เป็นธรรมชาติของกายและจิตเราดังนี้
                         1.1. พิจารณาว่า ธรรมชาติของหู มันมีไว้รับรู้เสียง มันจึงได้ยินเสียงต่างๆเป็นปกติธรรมดาตามธรรมชาติของมัน
                         1.2. พิจารณาว่า ธรรมชาติของตา มันมีไว้มองเห็น มันจึงเห็นรูปต่างๆเป็นปกติธรรมดาตามธรรมชาติของมัน
                         1.3. พิจารณาว่า ธรรมชาติของจมูก มันมีไว้รับรู้กลิ่น มันจึงได้รับรู้กลิ่นต่างๆเป็นปกติธรรมดาตามธรรมชาติของมัน
                        1.4. พิจารณาว่า ธรรมชาติของลิ้น มันมีไว้รับรู้รสชาติ มันจึงได้รู้รสชาติต่างๆเป็นปกติธรรมดาตามธรรมชาติของมัน
                        1.5. พิจารณาว่า ธรรมชาติของกาย มันมีไว้รับรู้การกระทบสัมผัสจากสิ่งภายนอก พยุงส่วนต่างๆ เคลื่อนไหว ฯลฯ (นึกแค่นี้พอไม่ต้องไปลงลึกมันจะคิดเกินการพิจารณา เดี๋ยวจิตมันติดคิด) มันจึงรับรู้ถึงการ เจ็บ ปวด คัน จั๊กจี้ เคลื่อนย้าย ฯลฯ เพราะว่าเรานั้นมีกายอยู่เป็นปกติจึงมีการรับรู้กระทบสัมผัสทางกายเป็นธรรมดา มีเจ็บ มีปวด มีคัน มีสั่น มีเคลื่อนไหว เป็นปกติธรรมดาตามธรรมชาติของมัน
                        1.6. พิจารณาว่า ธรรมชาติของจิตใจ มันมีไว้รับรู้อารมณ์ มันมีไว้ตรึกนึกคิดปรุงแต่ง มีไว้เสวยอารมณ์(เวทนา) มันจึงได้รู้อารมณ์ ตรึกนึกคิดปรุงแต่งสร้างเรื่องราวไปต่างๆเป็นปกติธรรมดาตามธรรมชาติของมัน

2. อุปมาอุปไมยเปรียบเทียบเมื่อจิตหลุดไปรู้อารมณ์ภายนอก
                        2.1. พิจารณาดูว่า เราทุกคนนี้ต้องเคยเปิดเพลงหรือฟังเพลงไปอ่านหนังสือไปใช่ไหม หรือ ทำงานไปด้วย ขณะที่ตาเราจิตเราจดจ้องทำงานอยู่ รู้อยู่แล้วว่าเสียงที่ได้ยินเป็นเสียงเพลง เราก็จะชินปกติไม่ได้ใส่ใจอะไรมาก โดยที่จิตเราสามารถจดจ่อดำเนินทำกิจต่างๆที่เราดำเนินไปอยู่นั้นตามปกติใช่ไหมครับ
                        2.2. พิจารณาดูว่า คนทุกคนต้องรู้ว่าฝนตก รู้ว่าเสียงนี้เสียงฝน เสียงนี้ฝนกระทบหลังคาบ้าง แต่ตามองออกไปดูข้างหน้าดูภาพทิวทัศน์ต่างๆ ทำอารมณ์ถ่ายมิวสิควีดีโอไปโดยขณะจิตนั้นเราเสพย์อารมณ์จาการมองเท่านั้นโดยที่ไม่ได้ใส่ใจเสียงฝนตกมันใช่ไหมครับ ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะเรารู้ว่า..นี่เสียงอะไร เสียงนี้มันเกิดขึ้นธรรมดาเมื่อฝนตก ได้ได้ยินเสียงนี้เป้นธรรมดา ใจมันชินกับเสียงฝนตกนี้ ไม่ได้ใส่ใจอะไรกับเสียงมากมาย
                        2.3. เมื่อเราได้ยินเสียงใดๆขณะทำสมาธิก็ทรงอารมณ์ไว้แบบนี้ จิตมันจะจดจ่อกับสภาพสภาวะที่ธัมมารมณ์หรือสภาพธรรมของจิตที่มันดำเนินไป หรือ จดจ่อ อยู่กับเรากำหนดภาวนาอยู่ โดยไม่หลุดไปตามเสียงที่ได้ยินนั้นๆ

- เมื่อรับรู้อารมณ์ใดๆทางสฬายตนะ(อายตนะภายใน)ที่เหลือ เราก็พิจารณาเปรียบเทียบเช่นนี้ไปเพื่อความวางเฉย เพื่อให้ใจชินกับสภาพนั้นๆ
หากเราเข้าใจในธรรมดาชาติการรับรู้ของ สฬายตนะ แล้ว เราจะลดความติดข้องใจในการรับรู้นั้นๆมากขึ้น ชินกับการรับรู้นั้นๆมากขึ้น จะทำให้จิตเราไม่หลุดไปจากสมาธิจิตง่ายๆ

3. เอาจิตกลับมาทรงอารมณ์ไว้ให้คงอยู่ในสมาธิจิตดังเดิม ระลึกตั้งมั่นทรงสมาธิจิตในสภาพนั้นๆที่เราดำเนินไปก่อนหลุดจากสมาธิจิตนั้น ก็จะเข้าสมาธิจิตง่ายขึ้น ตัดขาดการรับรู้อารมณ์ภายนอกมากขึ้นเรื่อยๆครับ
- เมื่อกระทำบ่อยๆ..บางท่านอาจจะสามารถเข้าออกสมาธิจิตในสภาพจิตต่างๆได้คล่องขึ้น และ อาจมองเห็นการแยกกายกับจิตไวขึ้น...ก็เป็นได้ครับ

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มกราคม 23, 2013, 09:21:45 AM โดย เกียรติคุณ » บันทึกการเข้า
เกียรติคุณ
ผู้ปฏิบัติธรรม
*****

พลังความดี : 65


เพศ: ชาย
อายุ: 46
กระทู้: 958
สมาชิก ID: 841


« ตอบ #2 เมื่อ: มกราคม 23, 2013, 09:23:09 AM »

Permalink: วิธีเจริญเข้าสู่สมาธิจิตเพื่อให้ใจเราสงบโดยง่าย
การทรงอารมณ์และสภาวะจิตไว้สำคัญอย่างไร

- เราจะสังเกตุได้ว่า เอ..ทำไมเวลาเรานั่งสมาธิ รู้หมดทุกอย่าง ควบคุมอารมณ์ได้ กุศลจิตเกิด ดับความพอใจยินดี ไม่พอใจยินดี วางสู่อุเบกขาจิตได้
- พอเราออกจากสมาธิมีใครมากระต้นหน่อย มีเสียง สี กลิ่น รส โผฐฐัพพะ ธัมมารมณ์ใดๆที่เราไม่ชอบมากระตุ้นหน่อย แหมอารมณ์เรามันเกรี้ยวกราดไปด้วยโทสะจริงๆ หยุดก็ไม่ได้ แม้รู้ว่ากำลังตรึกนึกโกรธอยู่ แต่อีกนั่นแหละมันกลับมีฉันทะเกิดควบกับโทสะว่า พอใจยินดีที่จะโกรธ ด่า โวยวาย ทำลาย ทำร้าย นี่แน่ะ พอพอใจยินดีชอบที่จะทำในสิ่งนั้นๆที่มันโกรธมันก็หยุดไม่อยู่แล้ว หรือ พอพอใจยินดีที่จะใคร่เสพย์อารมณ์ใดๆ มันก็หลุดไปแล้วห้ามไม่หยุด เพราะคิดว่าได้ทำอย่างนี้ๆแล้วมันสมอารตมณ์หมาย สมใจ ได้ระบาย
- นี่จะเห็นว่าหากผู้ไม่มีสมาธิจิตดีพอนี้พอออกสมาธิเป็นอย่างนี้ทุกคน บางครั้งแม้มีสมาธิจิตดีแต่ทรงอารมณ์ไว้ไม่ได้มันก็ควบคุมตนไม่ได้ ปล่อยไหลไปตามสังขารขันธ์นั้นไปซะแล้ว
- พระราชพรหมญาณท่านกล่าวสอนว่า ทรงอารมณ์ไว้ให้ได้ หากทรงอารมณ์ไว้ได้ สี เสียง กลิ่น รส โผฐฐัพพะ ธัมมารมณ์ ใดๆมากระทบเรา เราก็จะคงสติ คงสภาวะจิตที่ไม่ติดข้องใจนั้นได้ นี่มันมีค่ามากนักครับ



- ผมเองปฏิบัติทางสายพระป่าหลวงปู่มั่นมา สายพระพุฒาจารย์อาสฯ คือ ยุบ-พองมา เพราะมีครูอุปัชฌาย์คือ หลวงปู่นิลมหันตปัญโญ และ พระอาจารย์สุจินต์ ท่านสอนประสิทธิ์ประสาทให้ตอนบวช พอสึกมาก็ยังปฏิบัติตามที่ครูอุปัชฌาย์ทั้ง 2 ท่านสอนอยู่ แต่ดีที่ครูอุปัชฌาย์ทั้ง 2 ท่านไม่จำกัดแนวทาง ท่านบอกทางไหนก็ดีหมดตามแต่จริตที่จะทำให้มันเข้าถึงธรรมได้ ขอแค่ทางนั้นเป็นไปไม่ขัดกับหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า จึงเป็นเหตุให้ผมไม่จำกัดแนววิธีกัมมัฏฐานใดๆ พร้อมที่จะเรียนรู้ทุกสายกัมมัฏฐานเพื่อรู้และเผยแพร่ธรรมะ ข้อธรรม และ แนวทางการปฏิบัติกัมมัฏฐานทั้งหลาย
- หากข้อความใดๆ หรือ กระทู้ใดๆไม่ก่อเกิดประโยชน์ หรือ อาจเป็นแนวทางที่ชี้ผิดทางไม่ตรงกับที่พระพุทธเจ้าพระสมณโคดมองค์พระบรมศาสดาของผมและท่านทั้งหลายตรัสสอนไว้ดีแล้วนั้น ก็ขอท่านทั้งหลายโปรดอดโทษนั้นไว้แก่ผมด้วย และ ได้โปรดชี้แนะติเตียนสั่งสอนเพื่อให้ผมได้ดำเนินไปในทางที่ถูกต้องยิ่งๆขึ้นไปด้วยเทอญ สาธุ สาธุ สาธุ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มกราคม 28, 2013, 07:54:45 AM โดย เกียรติคุณ » บันทึกการเข้า
เกียรติคุณ
ผู้ปฏิบัติธรรม
*****

พลังความดี : 65


เพศ: ชาย
อายุ: 46
กระทู้: 958
สมาชิก ID: 841


« ตอบ #3 เมื่อ: มกราคม 23, 2013, 09:23:29 AM »

Permalink: วิธีเจริญเข้าสู่สมาธิจิตเพื่อให้ใจเราสงบโดยง่าย
ผมใคร่ขออนุญาต พระคุณเจ้าทั้งหลาย ท่านสมาชิกเวบ และผู้ดูแลระบบทุกท่าน เผยแพร่กระทู้ธรรมที่ผมปฏิบัติเจริญอยู่ตามทางที่พระพุทธเจ้าตรัสสอน โดยผมได้นำมาประยุกต์ใช้ให้เข้าตามจริตของผม ซึ่งคิดและเชื่อว่า..แนวทางนี้จะเป็นประโยชน์ และ ให้ผลได้แก่ทุกท่านไม่จำกัดกาล จึงได้นำมาเผยแพร่ต่อท่านสมาชิกเวบทุกท่านให้ได้ลองปฏิบัติกัน หากเมื่อท่านทั้งหลายปฏิบัติแล้วเห็นผลได้ มีประโยชน์แท้จริง ผมใคร่ขอรบกวนท่านทั้งหลายได้อุทิศส่วนบุญกุศลแห่งธรรมทานนี้ให้แด่


คุณพ่อกิมคุณ เบญจศรีวัฒนา ซึ่งท่านถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 5 มกราคม พ.ศ.2556 เวลา 15.49 น. อายุ 90 ปี 4 วัน

ประวัติโดยย่อของท่าน

- ท่านได้เลี้ยงลูกและเอาใจใส่ปลูกฝังให้ลูกมี ศีล สมาธิ พรหมวิหาร๔ คิดดี พูดดี ทำดี มีความขยัน หมั่นเพียร อดทน ซื่อสัตย์ สุจริต ซึ่งตัวท่านเองก็ปฏิบัติเช่นนี้อยู่เป็นประจำเพื่อเป็นตัวอย่างให้ลูกๆเห็นแล้วทำตาม
- เท่าที่ผมจำความได้ท่านสอนให้ผมว่า ให้เว้นจากความเบียดเบียนทำร้ายผู้อื่น ให้เว้นจากการฆ่าสัตว์แม้ มด ยุง ริ้น ไร ก็ห้ามไม่ให้ฆ่า ให้ผมไม่ขโมยลักทรัพย์ ไม่เอาของๆผู้อื่นที่เขาไม่ได้ให้ ให้ผมซื่อสัตย์-ซื่อตรงทำดีต่อครอบครัวตนเองและผู้อื่น ชี้ให้ผมเห็นโทษของสุราเมรัยไม่ให้ปารถนาที่จะดื่มกิน รู้สวดมนต์ไหว้พระ นั่งสมาธิเป็นประจำทุกวัน ท่านสอนให้ผมมีจิตปารถนาดีต่อผู้อื่น รู้เอื้ออนุเคราะห์แบ่งปันผู้อื่น มีการให้โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน มีสติรู้ตน รู้สิ่งที่ควรละ-ควรปล่อย-ควรผ่าน-ควรวาง มีความยินดีเมื่อผู้อื่นมีความปกติสุข-ปราศจากความเบียดเบียนทั้งกาย-ใจ รู้วางใจกลางๆในการอันควร ไม่หยิบจับเอาความพอใจยินดีหรือไม่พอใจยินดีมาตั้งเป็นอารมณ์แห่งจิต คิดดี พูดี ทำดี ขยัน อดทน ไม่เกี่ยงงาน ไม่พูดจาด่าทอให้ร้ายใคร
- ท่านเป็นเสมียนของ บริษัทสินธุสมุทรจำกัด (โรงน้ำปลาทั่งโก๋วฮะ) มานานหลายสิบปี ท่านซื่อสัตย์ต่อบริษัทมาตลอด ไม่เคยคดโกง ไม่เคยลักขโมย อยู่ด้วยความซื่อสัตย์ จนปัจจุบันท่านเป็นที่นับถือในความซื่อสัตย์สุจริต และ เพียรทำงานที่ดีที่ถูกต้องต่อบริษัท
- ตั้งแต่ผมจำความได้ สมัยยังเด็กๆ คุณพ่อกิมคุณ เบญจศรีวัฒนา ท่านเป็นสหายธรรมของหลวงปู่นิล มหันตปัญโญ (ซึ่งหลวงปู่ท่านเป็นลูกศิษย์พระอาจารย์ใหญ่หลวงปู่มั่น หลวงปู่สิง หลวงปู่เสาร์ และ หลวงปู่ท่านเป็นครูอุปัชฌาย์องค์แรกของผมเอง) สมัยเด็กๆจะเห็นท่านปั่นจักรยาน เอากับข้าวไปถวายเพลหลวงปู่ ไปนั่งสนทนาธรรมกับหลวงปู่นิลเป็นประจำ และ น้อมเอาแนวปฏิบัติสายพระป่ามาเจริญปฏิบัติ มีศีล สมาธิ เจริญกัมมัฏฐาน จนท่านสิ้นอายุขัยด้วยอายุ 90 ปี 4 วัน ในวันที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2556 เวลา 15.49 น.

ผมขอบุญแห่งการเผยแพร่ธรรมปฏิบัติเพื่อความมีประโยชน์สุขของท่านทั้งหลายนี้ มอบให้แด่ คุณพ่อกิมคุณ เบญจศรีวัฒนา (เตี่ยกิมคุณ แซ่โง้ว) ให้ได้อยู่ในภพภูมิที่ดีงาม มีความปกติสุขกายสบายใจ ไม่มีความทุกข์กายใจใดๆ ตราบสิ้นกาลนานเทอญ สาธุ สาธุ สาธุ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มกราคม 28, 2013, 07:55:03 AM โดย เกียรติคุณ » บันทึกการเข้า
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


บทความและไฟล์ภาพ ในเว็บไซต์แห่งนี้อาจนำมาจากเว็บไซต์อื่นๆ ที่ทีมงานคิดว่ามีประโชยน์ต่อผู้อ่าน โดยให้ผู้อ่านเกิดควมบันเทิง และให้ความรู้ โดยที่เราจะให้เครดิตทุกครั้งที่นำมา หากไฟล์ภาพหรือบทความใด ที่เจ้าของลิขสิทธิ์ไม่ต้องการให้นำมาแสดง โปรดแจ้งมาที่ tumcomputer@hotmail.com ทางทีมงานจะได้นำบทความนั้นออกทันที ขอบคุณครับ


เว็บนี้จัดทำโดย นายสุรัตน์ ศรลัมภ์ และครอบครัว อุทิศบุญให้เจ้ากรรมนายเวร และผู้มีพระคุณ

HTML Hit Counters
Powered by SMF 1.1.17 | Simple Machines|Copyright © 20010 BY : thammaonline.com
บทความธรรมะรวมเรื่องกฏแห่งกรรมสมาธิ วิปัสนากรรมฐานพลังจิตกระดานถาม-ตอบ Sitemap

Google มาเยี่ยมเว็บเมื่อ ตุลาคม 29, 2021, 10:56:22 AM