กรรมฐานชาวบ้าน ว่าด้วยเรื่องการอบรมสมาธิ
ขอนอบน้อมแด่ พระพุทธเจ้า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
ขอนอบน้อมแด่พระธรรม ที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ดีแล้ว
ขอนอบน้อมแด่พระสงฆ์ ผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ พระเถระ พระอริยะเจ้าทั้งหลาย ผู้เป็นสาวกของพระพุทธเจ้า ผู้ที่ควรแก่การเคารพนพน้อม
ธรรมทั้งหลายทั้งปวงที่ผมโพสท์กล่าวทั้งหมด เป็นธรรมที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้และตรัสไว้ดีแล้ว ประเสริฐแล้ว หาประมาณมิได้ พึงปฏิบัติและให้ผลได้ไม่จำกัดกาล เป็นธรรมเพื่อให้เราทั้งหลายได้เห็นทางพ้นทุกข์ จนถึงที่สุดแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ผมได้นำธรรมอันประเสริฐทั้งหลายเหล่านั้นมาพิจารณาปฏิบัติ กรรมฐาน สมถะ และ วิปัสนา ทำให้ผมได้รู้เห็นและขยายความข้อธรรมและแนวปฏิบัติต่างๆตามจริต และ สติกำลังร่วมกับปัญญาของผมได้ดังนี้...หากธรรมที่ผมได้โพสท์กล่าวนั้นมีความผิดพลาด ผิดเพี้ยน ไม่เป็นจริงด้วยประการใดๆ ขอท่านทั้งหลายพึงรู้ว่าธรรมนั้นมาจากความคิดพิจารณาด้วยสติปัญญาอันน้อยนิดของผมแล้วกลั่นกรองออกมาเป็นแนวทางปฏิบัตินั้นๆ หากเป็นคุณประโยชน์แก่ท่านทั้งหลายให้พึงระลึกรู้โดยจริงว่า ธรรมอันประเสริฐทั้งหลายทั้งปวงเหล่านั้นแล เป็นธรรมที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้และตรัสสอน ไม่ใช่ธรรมของผมแต่อย่างใด
บัดนี้ข้าพเจ้าขอแสดงธรรมเรื่อง "กรรมฐานชาวบ้าน ว่าด้วยเรื่องการอบรมสมาธิ" ตามวิธีที่ผมศึกษาเรียนรู้ปฏิบัติมา เพื่อเป็นประโยชน์ในการดำเนินไปในธรรมดังนี้
๒. ว่าด้วยการอบรมสมาธิ
หลายๆคนคงสงสัยแต่ไม่เข้าใจสำหรับผู้ปฏิบัติใหม่ๆว่า การอบรมสมาธิมันคือสิ่งใด คืออะไร อย่างไหนจึงเรียกว่าถูกต้อง
การอบรมกายที่พระตถาคตตรัสไว้ดีแล้วนั้น คือ
ก. การทำให้จิตผ่องใส ไม่ร้อนรุ่มร้อนรนใจ มีความชื่นบานใจ อิ่มเอมใจ เป็นปกติ
ข. การทำให้จิตสงบเย็นกายเย็นใจ เป็นสุขรื่นเริงใจ ไม่มีความติดข้องใจไรๆ เป็นปกติ
ค. มีจิตตั้งมั่นเป็นหนึ่งเดียว มีความว่างรำงับจาก กาม ราคะ โมหะ พยาบาท เป็นปกติ
ง. เมื่อหวนระลึกถึงสิ่งใดๆ หรือ ตามระลึกรู้ในสิ่งใดๆ จิตก็มีแต่สภาพที่แลดูอยู่ มีความรู้ตัวทั่วพร้อมอยู่เสมอ เป็นปกติ
จ. เมื่อหวนระลึกถึงสิ่งใดๆ หรือ ตามระลึกรู้ในสิ่งใดๆ จิตก็ไม่ปรุงแต่งส่งต่อเรื่องราวอันอกุศลลามก เป็นปกติ
ฉ. เมื่อหวนระลึกถึงสิ่งใดๆ หรือ ตามระลึกรู้ในสิ่งใดๆ จิตก็สักแต่เห็นความเกิดขึ้น แลเห็นความเป็นไปตามจริง ไม่ตกอยู่ในสภาวะที่ตรึกนึกคิดโดยความ อนุมานเอา
- สภาวะนี้ๆ คือ สัมมาสมาธิ ที่ควรแก่งาน
- ทีนี้ เราต้องเข้าใจก่อนว่า ทำให้พระพุทธเจ้าตรัสสอนว่า ทำไมเราค้องมีสัมมาสมาธิ สัมมาสมาธินั้น มีไว้เพื่อให้ถึงยถาภูตญาณทัสนะ คือ ปัญญารู้เห้นตามจริง
๒.๑ การเตรียมตัวเพื่อปฏิบัติกรรมฐานให้ถึงสัมมาสมาธิ
เราจะเริ่มทำสมาธิ หรือ จะเจริญปฏิบัติในทางใดๆตามที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนก็แล้วแต่ เราพึงควรเจริญดังนี้ คือ
๒.๑.๑ ข้อแรกที่สำคัญที่สุดเมื่อเราจะ ยืนก็ดี นั่งก็ดี เดินก็ดี นอนก็ดี ให้ระลึกนึกคิด คำนึงถึงอยู่เสอๆว่า
- พระพุทธเจ้ามาอยู่ตรงหน้าเราแล้วในขณะนี้
- พระตถาคตทรงกำลังดูเราเจริญปฏิบัติอยู่ เราต้องสำรวมระวังปฏิบัติให้พระตถาคตเห็นในความเพียร สำรวมระวังของเราอยู่ทุกขณะ
- หมั่นระลึกถึงบารมีของพระตถาคตเป็นที่ตั้ง
- พึงระลึกในใจว่าเราจักปฏิบัติตามรอยพระพุทธเจ้า เดินตามทางที่พระพุทธเจ้าตรัสสอน
๒.๑.๒ แล้วระลึกตั้งเจตนากล่าวกะพระพุทธเจ้า ว่า
ก. ข้าพระพุทธเจ้าจักพึงตั้งจิตเจริญใน อิทธิบาท๔ คือ
๑. ฉันทะ คือ มีความความพอใจยินดี ในการเจริญปฏิบัติทาง กาย วาจา และ ใจ ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสสอน เพื่อให้ถึงการพ้นจากกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้
๒. วิริยะ คือ ความเพียรพยายามกระทำในการเจริญปฏิบัติทาง กาย วาจา และ ใจ ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสสอน เพื่อให้ถึงการพ้นจากกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ไม่ละทิ้งไป
๓. จิตตะ คือ ความเอาใจฝักใฝ่ในการเจริญปฏิบัติทาง กาย วาจา และ ใจ ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสสอน ไม่ปล่อยใจฟุ้งซ่านเลื่อนลอย
๔. วิมังสา คือ ความพิจารณาใคร่ครวญพิจารณาในสิ่งนั้นด้วยปัญญา ถึงเหตุและผลในการปฏิบัติแต่ละอย่างว่าเป็นเช่นไรควรหรือไม่ควรอย่างไร
ข. ข้าพระพุทธเจ้าจักพึงตั้งจิตเจริญใน จรณะ ๑๕ เพื่อให้เข้าถึงใน อิทธิบาท๔ ข้างต้น คือ (จาก พระราชพรหมญาณ หนังสือ พรหมวิหาร ๔)
คำว่า จรณะ แปลว่า ความประพฤติที่พวกเราจะต้องประพฤติปฏิบัติกันเป็นประจำ จะถือว่าจรณะ ๑๕ เป็นจริยาที่พระอริยะเจ้าจะต้องประพฤติปฏิบัติแต่ฝ่าย เดียวก็หามิได้
สำหรับจรณะ ๑๕ นี่ ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายมีความบกพร่องในข้อใดข้อหนึ่ง ก็มีหวังว่าในปัจจุบันก็ดี สัมปรายภพก็ดี ท่านจะหาความสุขที่แท้จริงไม่ได้ หากว่าจะมีความสุขบ้างก็เป็นความสุขที่ไม่สมบูรณ์
สำหรับจรณะ ๑๕ นี้ท่านแบ่งออกเป็น ๓ หมวดด้วยกัน
สำหรับหมวดต้น มีอยู่ ๔ ข้อ คือ
๑. สีลสัมปทา ถึงพร้อมด้วยศีล สำหรับพระก็ได้แก่พระวินัย ที่มาในพระปาฏิโมกข์ ( มี ๒๒๗ ข้อ ) และก็มาทั้งนอกพระปาฏิโมกข์ ( ที่เราเรียกว่า อภิสมาจาร ) สำหรับเณรก็ต้องปฏิบัติในศีล ๑๐ ให้ครบถ้วน และก็มีเสขิยวัตรอีก ๗๕ ข้อ รวมเป็น ๘๕ สิกขาบท สำหรับอุบาสก อุบาสิกา อันดับต่ำสุดก็ต้องมีศีล ๕ บริสุทธิ์
๒. อินทรีย์สังวร สำรวมอินทรีย์ คือ ตา ห จมูก ลิ้น กาย ใจ อินทรีย์ แปลว่า ความความเป็นใหญ่ คือ ตา เป็นใหญ่ในการเห็นรูป หู เป็นใหญ่ในการฟังเสียง จมูก เป็นใหญ่ในการสูดกลิ่น ลิ้น เป็นใหญ่ในการรู้รส กาย เป็นใหญ่ในการสัมผัส ใจ เป็นใหญ่ในความรู้สึก สังวร แปลว่า ระวัง ท่านบอกว่าไม่ให้มันยินดียินร้าย ในเวลาเห็นรูป ฟังเสียง ดมกลิ่น ลิ้มรส ถูกต้องสัมผัสทางกาย รู้ทำอารมณ์ด้วยใจ
๓. โภชเนมัตตัญญุตา รู้ความพอดีในการกินอาหาร คือไม่ละโมบโลภมากเกินไป รู้จักประมาณในการกิน
๔. ชาคริยานุโยค ประกอบความเพียรของบุคคลผู้ตื่นอยู่
หมวดที่ ๒ ท่านเรียกว่า สัจจธรรม มี ๗ ข้อ คือ
๑. ศรัทธา ความเชื่อ เรามีความเชื่อในคำสั่งและคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ส่วนใดที่เป็นคำสั่งพระองค์ห้าม เราไม่ปฏิบัติตาม ส่วนใดที่เป็นธรรมะที่เป็นความดีที่พระองค์สนับสนุน เราปฏิบัติตาม
๒. หิริ ความละอายแก่ใจ ถ้าอารมณ์มันคิดจะทำชั่ว จงมีความละอายว่า เราเห็นจะเลวมากไปเสียแล้ว ถ้าจิตมันชั่ว เราก็อายความเป็นคนว่า ในฐานะที่เราเกิดมาเป็นคนแล้วไม่น่าจะทำความชั่ว
๓. โอตตัปปะ ความเกรงกลัวต่อความผิด
๔. พาหุสัจจะ ความเป็นผู้ได้ยินได้ฟังมาก จำได้มากแต่เอาตาเป็นตากระทู้ เอาหูเป็นหูกะทะ เห็นคนสอนก็เห็น ได้ยินคำสอนก็ได้ยิน แต่ไม่จำ มันจะเป็นพาหุสัจจะไม่ได้
๕. วิริยะ มีความเพียร คือ ความเพียรสละความชั่ว ประพฤติแต่ความดี
๖. สติ ระลึกได้ นึกได้ว่าเราเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยศีล ระลึกได้ว่าเราเป็นผู้สำรวมในอินทรีย์ นึกได้ว่าเราจะบริโภคอาหารอยู่แต่พอสมควร นึกได้ว่าเราจะเป็นผู้ประกอบความเพียรของบุคคลผู้ตื่นอยู่ เป็นต้น
๗. ปัญญา ความรอบรู้ จงใช้ปัญญาพิจารณาอารมณ์จิตว่า เวลานี้อารมณ์จิตของเรายังมีความผูกพันอยู่ในร่างกายหรือเปล่า เวลานี้เราสงสัยในคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระจอมไตรหรือเปล่า และปัญญาพิจารณาศีลที่เรารักษาตามสภาวะของตัว อย่าให้มันด่าง มันพร้อย มันขาดทะลุ อย่าให้มันบกพร่อง
สำหรับหมวด ๓ นี้มี ๔ ข้อด้วยกัน ได้แก่ พวกรูปฌาน คือ
๑. ปฐมฌาน ฌานที่ ๑
๒. ทุติยฌาน ฌานที่ ๒
๓. ตติยฌาน ฌานที่ ๓
๔. จตุตถฌาน ฌานที่ ๔
ถ้าหากท่านทั้งหลายได้ทรงฌานที่ ๑ ก็ดี ฌานที่ ๒ ก็ดี ฌานที่ ๓ ก็ดี ถึงฌานที่ ๔ ยิ่งดีมาก ในเวลาเช้ามืด เช้ามืดนี่เป็นเรื่องสำคัญ ถ้าตอนเช้าจิตของท่านทรงฌานได้ ปล่อยให้อารมณ์แนบสนิทตามที่กำลังจะทรงได้ นั่นก็หมายความว่า จรณะ ๑๕ ข้อ คือ
๑. สีลสัมปทา ท่านก็เป็นผู้มีศีลสมบูรณ์บริสุทธิ์ ศีลไม่บกพร่อง
๒. อินทรีย์สังวร การสำรวมตา หู จมูก ลิ้น กาย ดีทั้งหมด เพราะใจมันทรงตัวในด้านกุศล ตาไม่เสีย หูไม่เสีย จมูกไม่เสีย เป็นต้น
๓. โภชเนมัตตัญญุตา การรู้จักประมาณในการบริโภค ผู้ทรงฌานนี่ฉันอาหารไม่มากนัก แต่ยังไม่ถึงกับไปลดอาหารมันนะ ปล่อยมันตามสบาย เพราะอาการทางใจมันอิ่ม เรื่องลดอาหารไม่มีการยุ่ง พิจารณาอยู่เสมอว่าเรากินเพื่อทรงอยู่ เพื่อความหลงไม่มี
๔. ชาคริยานุโยค ก็เป็นผู้มีสติสมบูรณ์เหมือนคนตื่นอยู่
๕. ศรัทธา ความเชื่อในพระพุทธเจ้ามีสมบูรณ์แบบ ไม่บกพร่อง
๖. ความละอายต่อบาป คือ หิริ
๗. โอตตัปปะ ความเกรงกลัวต่อผลของความชั่วมีอยู่
๘. พาหุสัจจะ ความทรงจำของผู้มีสมาธิดี จะอยู่เป็นปกติ
๙. วิริยะ ความเพียรก็จะทรงตัว
๑๐. สติ ก็จะทรงอยู่เสมอ
๑๑. ปัญญา จะรอบรู้ เพราะปัญญานี้จะเกิดได้ก็อาศัยกำลังของสมาธิเป็นสำคัญ
เป็นอันว่า เมื่อบรรดาท่านพระโยคาวจรทุกท่านสามารถทรงฌานได้ จะเป็นฌานไหนก็ตามและจิตของท่านไม่ละเมิด ไม่ละทิ้งในฌาน ในยามเช้ามืด เป็นอันว่าจรณะทั้ง ๑๕ ประการจะสมบูรณ์แบบ เสมือนหนึ่งว่า ท่านเป็นผู้ทรงอิทธิบาท ๔ ครบถ้วนบริบูรณ์ และก็สามารถจะทรงความดีในบารมี ๑๐ ประการ ได้ครบถ้วน
จรณะ ๑๕ ที่มาจาก http://www.luangporruesi.com/321.html