กรรมฐานชาวบ้าน ว่าด้วยเรื่องการอบรมจิต
ขอนอบน้อมแด่ พระพุทธเจ้า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
ขอนอบน้อมแด่พระธรรม ที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ดีแล้ว
ขอนอบน้อมแด่พระสงฆ์ ผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ พระเถระ พระอริยะเจ้าทั้งหลาย ผู้เป็นสาวกของพระพุทธเจ้า ผู้ที่ควรแก่การเคารพนพน้อม
ธรรมทั้งหลายทั้งปวงที่ผมโพสท์กล่าวทั้งหมด เป็นธรรมที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้และตรัสไว้ดีแล้ว ประเสริฐแล้ว หาประมาณมิได้ พึงปฏิบัติและให้ผลได้ไม่จำกัดกาล เป็นธรรมเพื่อให้เราทั้งหลายได้เห็นทางพ้นทุกข์ จนถึงที่สุดแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ผมได้นำธรรมอันประเสริฐทั้งหลายเหล่านั้นมาพิจารณาปฏิบัติ กรรมฐาน สมถะ และ วิปัสนา ทำให้ผมได้รู้เห็นและขยายความข้อธรรมและแนวปฏิบัติต่างๆตามจริต และ สติกำลังร่วมกับปัญญาของผมได้ดังนี้...หากธรรมที่ผมได้โพสท์กล่าวนั้นมีความผิดพลาด ผิดเพี้ยน ไม่เป็นจริงด้วยประการใดๆ ขอท่านทั้งหลายพึงรู้ว่าธรรมนั้นมาจากความคิดพิจารณาด้วยสติปัญญาอันน้อยนิดของผมแล้วกลั่นกรองออกมาเป็นแนวทางปฏิบัตินั้นๆ หากเป็นคุณประโยชน์แก่ท่านทั้งหลายให้พึงระลึกรู้โดยจริงว่า ธรรมอันประเสริฐทั้งหลายทั้งปวงเหล่านั้นแล เป็นธรรมที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้และตรัสสอน ไม่ใช่ธรรมของผมแต่อย่างใด
บัดนี้ข้าพเจ้าขอแสดงธรรมเรื่อง "กรรมฐานชาวบ้าน ว่าด้วยเรื่องการอบรมจิต" ตามวิธีที่ผมศึกษาเรียนรู้ปฏิบัติมา เพื่อเป็นประโยชน์ในการดำเนินไปในธรรมดังนี้
๓. ว่าด้วยเรื่องการอบรมจิต
หลายๆคนคงสงสัยแต่ไม่เข้าใจสำหรับผู้ปฏิบัติใหม่ๆว่า การอบรมจิตมันคือสิ่งใด คืออะไร อย่างไหนจึงเรียกว่าถูกต้อง
การอบรมจิตที่พระตถาคตตรัสไว้ดีแล้วนั้น คือ
ก. รู้ว่าสิ่งไหนที่ควรเสพย์ และ สิ่งไหนไม่ควรเสพย์
ธรรมารมณ์ที่ควรเสพย์ และ ธรรมารมณ์ที่ไม่ควรเสพย์
ธรรมารมณ์ที่ไม่ควรเสพ (รู้)
ดูก่อนสารีบุตร เมื่อบุคคลเสพธรรมารมณ์ที่ร้ได้ทางมโนแบบไร
อกุศลธรรมทั้งหลายจะเจริญขึ้น แต่กุศลธรรมทั้งหลายกลับเสื่อมลง ธรรมา-
รมณ์ที่รู้ได้ทางมโนแบบนี้ ไม่ควรเสพ.
ธรรมารมณ์ที่ควรเสพ (รู้)
ดูก่อนสารีบุตร แต่ว่าเมื่อบุคคลเสพธรรมารมณ์ที่รู้ได้ทางมโนแบบไร
อกุศลธรรมทั้งหลายจะเสื่อมลง แต่กุศลธรรมทั้งหลายกลับเจริญขึ้น ธรรมา-
รมณ์ที่รู้ได้ทางมโนแบบนี้ ควรเสพ.
ข้อนั้นใด ที่เราตถาคตกล่าวไว้ดังนี้ว่า ดูก่อนสารีบุตร เราตถาคต
กล่าวถึงธรรมารมณ์ ที่รู้ได้ทางมโน ไว้ ๒ อย่างคือ ที่ควรเสพอย่าง ๑ ที่ไม่
ควรเสพอย่าง ๑ เราตถาคตอาศัยเนื้อความดังว่ามานี้ จึงได้กล่าวไว้แล้ว
ข. รู้ว่าสิ่งนี้ๆ ขณะใดๆ เราควรอดใจไว้ อดโทษไว้ รู้ว่าควรละ รู้ว่าควรปล่อย รู้ว่าควรวาง
ความรู้จักอด รู้จักละ รู้จักปล่อย รู้จักวาง เหล่านี้ คือ ขันติ
(ความอดทน อดกลั้นแล้วขัดใจขุ่นมัวใจนั่นไม่ใช่ขันตินะครับ นั่นเป็นขันอัด อาศัยความคิดไม่ว่าจะเป็นกุศลก็ดี หรือ อกุศลก็ดีกดข่มไว้)
เราจะเข้าถึงขันติจิตได้อย่างไร เราก็ต้องเจริญปฏิบัติดังนี้ คือ
- ศีล + พรหมวิหาร๔ ทั้ง 2 สิ่งนี้เป็นธรรม 2 ที่เจริญคู่กันแล้วเป็นประโยชน์สุขอันมาก
มีอานิสงส์คือ ไม่ร้อนรุ่มใจ ไม่ร้อนรนใจ ไม่มัวหมองใจ ไม่เศร้าหมองใจ มีกุศลจิตเกิดอยู่เป็นปกติจิต
- พิจารณาเห็นคุณและโทษของสิ่งนั้นๆที่เราพึงเอามาตั้งเป็นอารมณ์แห่งจิตอยู่
- พิจารณาเลือกในสิ่งที่ควรเสพย์และไม่ควรเสพย์
ค. รู้วางใจไว้กลางๆ ไม่หยิบจับเอาทั้งความพอใจยินดีและความไม่พอใจยินดีมาเป็นที่ตั้งแห่งจิต
ความรู้จังวางใจไว้กลางๆ ความวางเฉย คือ อุเบกขาจิต
(อุเบกขาจิตมีอยู่ 2 ประเภท คือ กุศล และ อกุศล ส่วนทางเข้าถึงอุเบกขาจิตมีอยู่ 10 แบบ)
เราจะเข้าถึงอุเบกขาจิตได้อย่างไร เราก็ต้องเจริญปฏิบัติดังนี้ คือ
(วิธีเข้าอุเบกขาจิตนี้ๆเป็นหลักเบื้องต้นในการเข้าถึงได้สำหรับผู้ที่เริ่มปฏิบัติ ผมจะไม่กล่าวถึงในส่วนที่ผมยังไม่ถึง นั่นคือ อุเบกขาสำหรับผู้ที่ บรรลุแล้ว หรือพระอริยะเจ้าทั้งหลาย เพราะผมยังไม่ถึงแม้จะหาตำรามาเปิดกล่าวได้มันก็ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ เพราะได้แค่บ่นแต่ไม่ถึงจริง ไม่เห็นจริง)
- เจริญขันติให้เกิดขึ้นแก่จิต
- เห็นเหตุ(สมุทัย)ที่ทำให้เราติดข้องใจในสิ่งไรๆ จนเกิดเป็นความพอใจยินดีและไม่พอใจยินดีเหล่านั้น
- ละที่เหตุ(สมุทัย)นั้นๆไปเสีย โดยเจริญระลึกอยู่เนืองๆว่า..สิ่งนี้ๆไม่ใช่เรา สิ่งนี้ๆไม่ใช่ของเรา มันแค่มาอาศัยเกิดประกอบปรุงแต่งเท่านั้น เมื่อเข้าไปร่วมกับมัน หรือ เข้าไปเสพย์มัน ไม่ว่าจะพอใจยินดีหรือไม่พอใจยินดีมันก็มีแต่ทุกข์ หาประโยชน์สุขใดๆไม่ได้
ง. รู้เห็นตามจริงด้วยปัญญา
- เจริญตามในข้อ ก-ค เจริญปฏิบัติให้มีจิตตั้งมั่นชอบ สงบรำงัยจาก กาม ราคะ โมหะ พยาบาท
- พิจารณาให้รู้เห็นตามจริงว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นกับเรานี้ มันมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา และ ดับไปเป็นธรรม มันไม่เที่ยง คือ
มีความเสื่อมเป็นธรรมดา มีความสูญสลายไปเป็นธรรมดา ไม่ด้วยการดูแลรักษา ไม่ก็สภาพแวดล้อม -
ไม่ก็ด้วยกาลเวลา หรือ สภาวะธรรมปรุงแต่งภายใน ไม่ก็ด้วยความตายอย่างใดอย่างหนึ่ง
- พิจารณาให้รู้เห็นตามจริงว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งเหล่านี้ที่เกิดขึ้นกับเรา มันไม่มีตัวตนอันที่จะบังคับ ยื้อยึด ฉุดรั้งให้มันเป็นไปดั่งใจได้
ก็สิ่งใดๆเหล่านี้..เราไม่สามารถจะไปบังคับให้มันคงอยู่ตลอดไป หรือ ให้บังคับให้มันดับไปไม่เกิดขึ้นอีก ตามที่ใจเราปารถนาไม่ได้
- เห็นตามจริงด้วยปัญญาถึงความไม่ใช่เรา และ ไม่ใช่ของเรา กับสิ่งใดๆเหล่านี้
- เห็นด้วยปัญญาด้วยตัดจากความปรุงแต่งนึกคิดว่า..สิ่งใดๆเหล่านี้มันสักแต่เป็นเพียงแต่สภาพธรรมหนึ่งๆที่มากระทบสัมผัสให้รับรู้เท่านั้น
แล้วมันก็ดับไป หากไม่ปรุงแต่งนึกคิดต่อเติมเรื่องราวใดๆในสิ่งนั้นมันก็ไม่เกิดทั้งความพอใจยินดีและไม่พอใจยินดี
- เห็นด้วยปัญญาด้วยตัดจากความปรุงแต่งนึกคิดว่า..สิ่งใดๆเหล่านี้มันสักแต่เป็นเพียงแต่สภาพธรรมหนึ่งๆที่มากระทบสัมผัสให้รับรู้เท่านั้น
แล้วมันก็ดับไป หากไม่ปรุงแต่งนึกคิดต่อเติมเรื่องราวใดๆในสิ่งนั้นมันก็ไม่มีตัวตนบุคคลใดสักแต่เป้นเพียงแค่ ธาตุ เป็น รูปและนามที่มากระทบเท่านั้น
- เห็นก็สักแต่ว่าเห็น ได้ยินก็สักแต่ว่าได้ยิน ได้กลิ่นก็สักแต่ว่าได้กลิ่น รู้รสก็สักแต่ว่ารู้รส รู้การกระทบสัมผัสทางกายก็สักแต่ว่ารู้สัมผัส รู้ธรรมารมณ์ใดๆทางใจก็สักแต่รู้ว่าเป็นธรรมารมณ์ ไม่เข้าไปร่วม ไม่เข้าไปเสพย์ สักเพียงแต่ว่ารู้เท่านั้น