บันทึกกรรมฐาน วันที่ 12/1/58
วันนี้เข้ามาทำงานแต่ทรงสติ สัมปะชัญญะ มีสมาธิอันพอสงบไจไว้อยู่ทุกขณะจิต เจริญปฏิบัติ ตามธรรมปฏิบัติที่หลวงพ่อสอนเสถียร และ ท่านพ่อลี ธัมมะธะโร สอน ทรงอารมณ์นั้นไว้อยู่ ผลที่ได้ คือ ความฟุ้งน้อยลงจนแทบไม่มี ความคิดน้อยลง จะคิด จะพูด จะเห็นอันใดก็เป็นสิ่งสมมติทั้งนั้น จึงนิ่งอยู่ไม่คิด ไม่พูด มีแต่ว่าง จริตไม่เกาะเกี่ยว แยก กาย จิต เวทนา ออกจากอาการเจ็บปวดของกายสังขาร ทรงความว่างไม่ปรุง ไม่จับ ไม่ยึด ไม่เจตนา ไม่คิด ไม่ปารถนา มีแต่สภาพที่ว่าง และ ว่าง สงบ เบาโล่งกายใจ ไม่มีอะไรทั้งสิ้น มีเห็นก็สมมติเท่านั้น แต่ไม่เกาะยึดเอาสภาวะธรรมอันสมมติอีก มีแต่สภาว่างๆ สภาวะธรรมนั้นๆเกิดให้สติมัปะชัญญะรู้คู่จิต จิตมันจะไปรู้สมมติก็ไม่ยึดจิตนั้นอีก
ว่าด้วยเรื่อง จิตเสพย์กิเลส
๑. จิตเสพย์โลภะ.. คือ จิตมันไปรู้ผัสสะในอารมณ์ใดๆทางสฬายตนะ แล้วเกิดเสวยอารมณ์เป็นเวทนา ความสุข ความพอใจยินดี ติดใจ น่าใคร่ปารถนา มีใจใฝ่หาอยู่ ยึดมั่นถือมั่นทะยานอยากได้ที่จะเสพย์ในอารมณ์นั้นๆ
- นั่นเพราะว่าจิตมันไปรู้สิ่งสมมติปรุงแต่งจิตไรๆทางสฬายตนะ ไม่ว่าจะเป็น
ก. ทางตา.. ได้เห็น เป็นคน สัตว์ สิ่งของไรๆ มีสภาพรูปร่างอย่างใด มีการดำเนินการทำไปในอิริยาบถไรๆ
ข. ทางหู.. ได้ยินเสียง เป้นถ้อยคำวาจาคำพูดไรๆ มีความหายอย่างไร เป็นเสียงของอะไร ของใคร
ค. ทางจมูก.. ได้กลิ่นเหม็น หอม เป็นกลิ่นของอะไร กลิ่นจากคนใด สัตว์ใด สิ่งใด
ง. ทางลิ้น.. ได้รู้รส รู้ว่ารสชาตินี้ หวาน ขม จืด เค็ม เปรี้ยว กลมกล่อม อร่อย ไม่อร่อย
จ. ทางกาย.. ได้รู้สัมผัสทางกายอย่างนี้ๆรู้ว่ามันอ่อน มันแข็งมันนุ่ม มันลื่น มันหยาบ มันเสียว มันเจ็บ มันปวด มันทิ่ม มันสบาย มันเป็นคน เป็นอวัยวะส่วนใดมากระทบให้รู้สึก เป็นสัตว์ไรๆ สิ่งไรๆที่มากระทบให้รู้สึก
ฉ. ทางใจ.. ได้รู้อารมณ์ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย หรือ ความตรึกนึกคิด หวนระลึกถึงสิ่งไรๆที่ผ่านไปแล้วกับไปแล้วมาผปรุงแต่งสมมติเรื่องราวขึ้นใหม่ ตรึกนึกถึงสิ่งที่ยังมาไม่ถึงแล้วสมมติ แล้วสืบต่อมาสมมติปรุงแต่งไปต่างๆนาๆให้จิตรู้ว่าเป็นสิ่งนั้น อย่างนั้นอย่างนี้ เป็นคนนั้นคนนี้ เพศนั้นเพศนี้ สัตว์นั้นสัตว์นี้ สิ่งนั้นสิ่งนี้ สีนั้นสีนี้ สืบต่อเกิดเป็นความคิดสมมติปรุงแต่งไปอย่างนั้น หวนระลึกถึงสิ่งไรๆที่ผ่านไปแล้วกับไปแล้วมาผปรุงแต่งสมมติเรื่องราวขึ้นใหม่ ตรึกนึกถึงสิ่งที่ยังมาไม่ถึงแล้วสมมตินึกคิดเป็นเรื่องราวต่างๆนาๆ
- แล้วจิตมันเข้าไปยึดจับเอาสิ่งที่รับรู้มา ทั้ง ๖ ทางนั้นไว้(ก-ฉ) แล้วเสพย์สิ่งสมมติที่มันรู้แล้วยึดถือเอาไว้นั้นประกอบกับความจำสำคัญมั่นหมายของใจนั้น ตามที่กิเลสมันสร้างขึ้นล่อหลอกให้จิตรู้ให้จิตมันยึดมั่นถือมั่น จนเป็นความโลภ ความติดใจ ความกำหนัด ทะยานอยาก เป็นทุกข์
๒. จิตเสพย์โทสะ.. คือ จิตมันไปรู้ผัสสะในอารมณ์ใดๆทางสฬายตนะ แล้วเกิดเสวยอารมณ์เป็นเวทนา ความทุกข์ ความไม่พอใจยินดี ขัดใจ ไม่ใคร่ปารถนา มีใจใฝ่ออกอยู่ ยึดมั่นถือมั่นทะยานอยากจะผลักอารมณ์นั้นๆหลีกหนีไปให้ไกลตน
- นั่นเพราะว่าจิตมันไปรู้สิ่งสมมติปรุงแต่งจิตไรๆทางสฬายตนะ ไม่ว่าจะเป็น
ก. ทางตา.. ได้เห็น เป็นคน สัตว์ สิ่งของไรๆ มีสภาพรูปร่างอย่างใด มีการดำเนินการทำไปในอิริยาบถไรๆ
ข. ทางหู.. ได้ยินเสียง เป้นถ้อยคำวาจาคำพูดไรๆ มีความหายอย่างไร เป็นเสียงของอะไร ของใคร
ค. ทางจมูก.. ได้กลิ่นเหม็น หอม เป็นกลิ่นของอะไร กลิ่นจากคนใด สัตว์ใด สิ่งใด
ง. ทางลิ้น.. ได้รู้รส รู้ว่ารสชาตินี้ หวาน ขม จืด เค็ม เปรี้ยว กลมกล่อม อร่อย ไม่อร่อย
จ. ทางกาย.. ได้รู้สัมผัสทางกายอย่างนี้ๆรู้ว่ามันอ่อน มันแข็งมันนุ่ม มันลื่น มันหยาบ มันเสียว มันเจ็บ มันปวด มันทิ่ม มันสบาย มันเป็นคน เป็นอวัยวะส่วนใดมากระทบให้รู้สึก เป็นสัตว์ไรๆ สิ่งไรๆที่มากระทบให้รู้สึก
ฉ. ทางใจ.. ได้รู้อารมณ์ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย หรือ ความตรึกนึกคิด หวนระลึกถึงสิ่งไรๆที่ผ่านไปแล้วกับไปแล้วมาผปรุงแต่งสมมติเรื่องราวขึ้นใหม่ ตรึกนึกถึงสิ่งที่ยังมาไม่ถึงแล้วสมมติ แล้วสืบต่อมาสมมติปรุงแต่งไปต่างๆนาๆให้จิตรู้ว่าเป็นสิ่งนั้น อย่างนั้นอย่างนี้ เป็นคนนั้นคนนี้ เพศนั้นเพศนี้ สัตว์นั้นสัตว์นี้ สิ่งนั้นสิ่งนี้ สีนั้นสีนี้ สืบต่อเกิดเป็นความคิดสมมติปรุงแต่งไปอย่างนั้น หวนระลึกถึงสิ่งไรๆที่ผ่านไปแล้วกับไปแล้วมาผปรุงแต่งสมมติเรื่องราวขึ้นใหม่ ตรึกนึกถึงสิ่งที่ยังมาไม่ถึงแล้วสมมตินึกคิดเป็นเรื่องราวต่างๆนาๆ
- แล้วจิตมันเข้าไปยึดจับเอาสิ่งที่รับรู้มา ทั้ง ๖ ทางนั้นไว้(ก-ฉ) แล้วเสพย์สิ่งสมมติที่มันรู้แล้วยึดถือเอาไว้นั้นประกอบกับความจำสำคัญมั่นหมายของใจนั้น ตามที่กิเลสมันสร้างขึ้นล่อหลอกให้จิตรู้ให้จิตมันยึดมั่นถือมั่น จนเป็นความขัดเคืองใจ โกรธ เกลียด แคียดแค้น ทะยานอยาก เป็นทุกข์
๓. จิตเสพย์โมหะ.. คือ จิตมันไปรู้ผัสสะในอารมณ์ใดๆทางสฬายตนะ แล้วเกิดเสวยอารมณ์เป็นเวทนา ความว่างนิ่งเฉยที่หน่วงโน้มจิตปิดกั้นตนจากความรู้ในปัจจุบันขณะ ความข้องโน้มใจชักจูงให้เกี่ยวพันยึดมั่นถือมั่นแนบแน่นในอารมณ์ความรู้สึกอันใดโดยปิดกั้นสติสัมปะชัญญะให้ไม่มีความรู้กายรู้ใจในปัจจุบัน เกิดความไม่รู้จริง ไม่เห็นจริง ไม่รับรู้ ยอมรับสิ่งไรๆ แล้วเสพย์หลงในอารมณ์นั้นๆสืบไปโดยไม่มีสิ้นสุด ความยึดมั่นถือมั่นในสมมติทั้งปวง
- นั่นเพราะว่าจิตมันไปรู้สิ่งสมมติปรุงแต่งจิตไรๆทางสฬายตนะ ไม่ว่าจะเป็น
ก. ทางตา.. ได้เห็น เป็นคน สัตว์ สิ่งของไรๆ มีสภาพรูปร่างอย่างใด มีการดำเนินการทำไปในอิริยาบถไรๆ
ข. ทางหู.. ได้ยินเสียง เป้นถ้อยคำวาจาคำพูดไรๆ มีความหายอย่างไร เป็นเสียงของอะไร ของใคร
ค. ทางจมูก.. ได้กลิ่นเหม็น หอม เป็นกลิ่นของอะไร กลิ่นจากคนใด สัตว์ใด สิ่งใด
ง. ทางลิ้น.. ได้รู้รส รู้ว่ารสชาตินี้ หวาน ขม จืด เค็ม เปรี้ยว กลมกล่อม อร่อย ไม่อร่อย
จ. ทางกาย.. ได้รู้สัมผัสทางกายอย่างนี้ๆรู้ว่ามันอ่อน มันแข็งมันนุ่ม มันลื่น มันหยาบ มันเสียว มันเจ็บ มันปวด มันทิ่ม มันสบาย มันเป็นคน เป็นอวัยวะส่วนใดมากระทบให้รู้สึก เป็นสัตว์ไรๆ สิ่งไรๆที่มากระทบให้รู้สึก
ฉ. ทางใจ.. ได้รู้อารมณ์ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย หรือ ความตรึกนึกคิด หวนระลึกถึงสิ่งไรๆที่ผ่านไปแล้วกับไปแล้วมาผปรุงแต่งสมมติเรื่องราวขึ้นใหม่ ตรึกนึกถึงสิ่งที่ยังมาไม่ถึงแล้วสมมติ แล้วสืบต่อมาสมมติปรุงแต่งไปต่างๆนาๆให้จิตรู้ว่าเป็นสิ่งนั้น อย่างนั้นอย่างนี้ เป็นคนนั้นคนนี้ เพศนั้นเพศนี้ สัตว์นั้นสัตว์นี้ สิ่งนั้นสิ่งนี้ สีนั้นสีนี้ สืบต่อเกิดเป็นความคิดสมมติปรุงแต่งไปอย่างนั้น หวนระลึกถึงสิ่งไรๆที่ผ่านไปแล้วกับไปแล้วมาผปรุงแต่งสมมติเรื่องราวขึ้นใหม่ ตรึกนึกถึงสิ่งที่ยังมาไม่ถึงแล้วสมมตินึกคิดเป็นเรื่องราวต่างๆนาๆ
- แล้วจิตมันเข้าไปยึดจับเอาสิ่งที่รับรู้มา ทั้ง ๖ ทางนั้นไว้(ก-ฉ) แล้วเสพย์สิ่งสมมติที่มันรู้แล้วยึดถือเอาไว้นั้นประกอบกับความจำสำคัญมั่นหมายของใจนั้น ตามที่กิเลสมันสร้างขึ้นล่อหลอกให้จิตรู้ให้จิตมันยึดมั่นถือมั่น จนเป็นความเศร้าหมอง(ไม่ใช่เศร้าโรกเสียใจนะครับ) นิ่งเฉยๆปิดกั่นจิตให้ว่างจากความรู้ตัว รู้ใจ รู้จริง รู้ปัจจุบัน ลุ่มหลงอยู่กับความติดข้องใจอยู่ในอารมณ์ความรู้สึกใดๆที่เพลิดเพลินใจบ้าง ที่ขุ่นมัวใจบ้าง เกิดเป้นความยึดมั่นถือมั่นทะยานอยาก เป็นทุกข์
ว่าด้วยเรื่อง จิตเสพย์สภาวะธรรม
จากที่เราเคยทำสมาธิแล้วเคยรับรู้สัมผัสได้มาบ้างแล้วนั้น คือก. ตา.. เห็นสภาวะธรรมที่เป็นไปต่างๆในปัจุบันทางตาอยู่ เห็นสิ่งต่างๆมันเหมือนๆกันไปหมด ไม่มีสิ่งที่น่าใคร น่าปารถนา น่ารังเกลียด น่ายึด ไม่มีชื่อ ไม่มีอะไรเลยนอกจากสภาวะธรรมที่ไม่มีชื่อ ไม่มีตัวตนบุคลใด ไม่มีสัตว์ใด ไม่มีสิ่งใด
- พอถอยออกมาหน่อยก็เห็นว่า นั้นคือสีๆที่เป็นอย่างนั้นอย่างนี้
- จนถอยออกมาอีกก็เห็นว่า นั่นเป็นรูป คน สัตว์ สิ่งของ อย่างนั้นอย่างนี้ มีสีอย่างนั้นอย่างนี้
- ถอยออกมาจนสุดก็เห็นว่า เป็นหญิง เป็นชาย เป็นสัตว์ชนิดใดๆ มีสีอย่างไร งาม ไม่งามอย่างไร
ข. หู.. รู้สภาวะธรรมที่เกิดขึ้นอยู่ในปัจจุบันนั้นๆอยู่ แต่ไม่มีชื่อ ไม่มีความหมายสำคัญไรๆ
- พอถอยออกมาหน่อยก็รู้ว่า สิ่งนี้ๆมีสภาวะธรรมที่อึกทึกก้องอยู่ แต่ก้ไม่ยึดถือ
- จนถอยออกมาอีกก็รู้ว่า เป็นเสียงที่มีอาการอึกทึก ก้องอยู่ แต่เสียงยังเบาอยู่
- ถอยออกมาจนสุดก็รุ้ว่า เป็นเสียงที่มีความดัง ก้อง เป็นเสียงของอะไร เสียงของสิ่งใด
ค. จมูก.. รู้สภาวะธรรมที่เกิดขึ้นอยู่ในปัจจุบันนั้นๆอยู่ จากสภาวะที่เคลื่อนไหวขึ้นลงที่มีดำเนินไปอยู่ของกายสังขาร ไม่รู้ชื่อ รู้แต่สภาวะแบบนี้ๆเกิดขึ้น
- พอถอยออกมาจึงรู้ว่า เป็นกลิ่นอันเกิดแต่ลมหายใจที่พัดเข้าออกทางจมูกที่มีลักษณะอาการอย่างนั้นอย่างนี้ แสบจมูก เสียดจมูก ตรึงสบายจมูกสบายใจบ้าง
- พอสุดแล้ว จึงรู้ว่านั่นกลิ่นเหม็น หอม กลิ่นอะไร จากสิ่งใด มาจากทางไหน
ง. ลิ้น.. ถึงแค่ รู้ว่าขณะนี้เกิดลักษณะความรู้สึกที่เอิบอาบทางลิ้นและคอให้ความรู้สึกที่แสบลิ้นและคอ เฝื่อนลิ้นและคอ ขืนลิ้น ขมลิ้น เสียดกัดลิ้น กระด้างลิ้น ลื่นลิ้นลื่นคอเกาะกุมอยู่ในสภาพที่เอิบอาบสบายลิ้นและคอเกิดขึ้น
- พอถอยออกมาจึงรู้ว่า เสียดกระด้างลิ้นนี้คือเค็มบ้าง อาการเกาะกุมขืนสากลิ้นนี้ เป็นขมบ้าง อาการที่กัดเสียดเข้าไปในล้อนเป็นเปรี้ยวบ้าง เป็นต้น(จริงๆมันก็ไม่รู้จะอธิบายอาการนี้ๆยังไง)
จ. กาย.. ถึงแค่ รู้ว่าขณะนี้เกิดลักษณะความรู้สึกทางกายที่อ่อน แข็ง นุ่ม หยาบ ละเอียด ลื่น แหลมทิ่ม เจ็บ ปวด สบาย แสบเสียดคัน เอิบอาบ ร้อน เย็น อุ่น เคลื่อนตัว
ฉ. ใจ.. ถึงแค่ มีสภาวะธรรมที่เกิดขึ้นให้รู้ ไม่มีชื่อ ไม่มีสิ่งใด มีแต่สภาพที่รู้ว่ามีสิ่งนี้ๆเกิดขึ้น แต่ไม่ยึดจับ แล้วมันกด็ดับไป มีสภาวะอันว่างที่แลโดยแยกจากสภาวะัธรรมที่เกิดเวียนเปลี่ยนอยู่นั้นๆ มีแต่ความว่างโล่ง ไม่มีสิ่งใดเลย อารมณ์ปรุงแต่งไรๆที่เกิดขึ้นก็รู้ รู้แล้วก็นิ่งเฉยๆแต่รู้ ไม่วุ่นไม่เสพย์อะไรทั้งนั้น ว่าง นิ่งเฉยอย่างเดียว
- พอถอยออกมาหน่อย ก้อเกิดมีสภาวะธรรมที่เกิดพุ่งขึ้นมาต่างๆ แต่รู้ว่ามันคืออะไรแล้วก็ดับไป
- พอถอยออกมาสุดแล้วก็รู้อาการที่เป็นไปว่ามัน ฟูใจ ขุ่นใจ หมองใจ หน่วงๆใจ ผ่องใส โล่งเบา สงบบ้าง รู้ว่านี่ รัก โลภ โกรธ หลง สงบกุศล
- เมื่อรู้ตัวแล้ว ที่มีอยู่ในขณะแรก ไม่มีอะไรเลยนอกจากสภาวะธรรม ถอยออกก็รู้สภาพจริงที่เกิดร่วมกับสิ่งสมมติ
- สภาวะธรรมโดยรวมของกายใจ.. เรานี้ได้รับรู้มาโดยเมื่อเจริญอานาปานสติ+พุทธานุสสติ จิตตานุปัสสนา อิริยาบถ+สัมปะชัญญะบรรพ ปฏิกูลบรรพ ธาตุมนสิการบรรพ จนจิตตั้งมั่นนิ่งแช่อยู่อันตัดเสียงคิดออกจากสภาวะธรรมต่างๆที่เกิดขึ้น เพียงระยะเวลา 3-5 นาที สิ่งที่รู้ทางกายและใจมันก็มีแต่สภาวะธรรมเท่านั้น ถึงจะบังเอิญไปรู้เห็นแต่ก็ทำให้รู้ว่าผู้เข้าถึงท่านเห็นยังไง
- สภาวะที่รู้ทาง ตา..รับรู้ได้เมื่อเจริญสมาธิในอานาปานสติ+พุทธานุสสติ จนจิตตั้งมั่นนิ่งแช่อยู่อันตัดเสียงคิดออกจากสภาวะธรรมต่างๆที่เกิดขึ้น แล้วพิจารณาอสุภะบ้าง ทวัตติงสาการบ้าง จตุธาตุววัตถานบ้าง วัณณะรูปบ้าง ปฐวีกสินบ้าง รู้ในปัจจุบันขณะเห็นก็สักแต่ว่าเห็นไม่ปรุงแต่งคิดสืบต่อบ้าง
- สภาวะที่รู้ทาง หู..รับรู้ได้เมื่อเจริญสมาธิในอานาปานสติ+พุทธานุสสติ จนจิตตั้งมั่นนิ่งแช่อยู่อันตัดเสียงคิดออกจากสภาวะธรรมต่างๆที่เกิดขึ้น
- สภาวะที่รู้ทาง จมูก..รับรู้ได้เมื่อเจริญสมาธิในอานาปานสติ+พุทธานุสสติ จิตตานสติปัฏฐาน นามรูป จนจิตตั้งมั่นนิ่งแช่อยู่อันตัดเสียงคิดออกจากสภาวะธรรมต่างๆที่เกิดขึ้น
- สภาวะที่รู้ทาง ลิ้น..รับรู้ได้เมื่อเจริญสมาธิในอานาปานสติ+พุทธานุสสติ จิตตานสติปัฏฐาน นามรูป จนจิตตั้งมั่นนิ่งแช่อยู่อันตัดเสียงคิดออกจากสภาวะธรรมต่างๆที่เกิดขึ้น
- สภาวะที่รู้ทาง กาย..รับรู้ได้เมื่อเจริญสมาธิในอานาปานสติ+พุทธานุสสติ จิตตานสติปัฏฐาน นามรูป จนจิตตั้งมั่นนิ่งแช่อยู่อันตัดเสียงคิดออกจากสภาวะธรรมต่างๆที่เกิดขึ้น
- สภาวะที่รู้ทาง ใจ..รับรู้ได้เมื่อเจริญสมาธิในอานาปานสติ+พุทธานุสสติ อิริยาบถ+สัมปะชัญญะบรรพ ธัมมารมณ์+จิตรู้สมมติ