เมษายน 25, 2024, 04:52:30 PM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา ปฏิทิน เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: 1 ... 22 23 [24] 25 26 ... 31  ทั้งหมด   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: บันทึกแนวทางกรรมฐานละกำหนัดเมถุน  (อ่าน 408372 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 3 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
เกียรติคุณ
ผู้ปฏิบัติธรรม
*****

พลังความดี : 65


เพศ: ชาย
อายุ: 46
กระทู้: 958
สมาชิก ID: 841


« ตอบ #345 เมื่อ: พฤษภาคม 24, 2022, 11:45:33 AM »

Permalink: บันทึกแนวทางกรรมฐานละกำหนัดเมถุน


คติธรรมจาก อนัตตลัขณสูตร

๑. รูป(ร่างกาย, อาการ ๓๒, ธาตุ ๕)
๒. เวทนา(ความรู้สึกอารมณ์เพราะอาศัยสัมผัส)
๓. สัญญา(ความจำสำคัญมั่นหมายของใจ)
๔. สังขาร(ความคิดสืบต่ออารมณ์ความรู้สึก)
๕. วิญญาณ(ความรู้สึกรับรู้อารมณ์ที่กระทบและสืบต่อ)

ภานใน ภายนอก ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่ของเรา ไม่เป็นเรา ไม่ควรยึดครอง มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา เสื่อม อาพาธ บังคับไม่ได้

*คติธรรมนำมาใช้ในชีวิตทั้งทางโลกและทางธรรม*
๑. ปุถุชนมีดี มีร้าย แปรปรวน เพราะมีอุปาทานขันธ์ อย่าไปยึดถือคาดหวังกับใคร
๒. ทุกสิ่ง ไม่ใช่ตัวตน มีอายุไขยของมัน แปรปรวน เสื่อมพัง บังคับไม่ได้ อยู่เหนือการควบคุม ไม่ควรยึดหลง




« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤษภาคม 26, 2022, 09:27:53 PM โดย เกียรติคุณ » บันทึกการเข้า
เกียรติคุณ
ผู้ปฏิบัติธรรม
*****

พลังความดี : 65


เพศ: ชาย
อายุ: 46
กระทู้: 958
สมาชิก ID: 841


« ตอบ #346 เมื่อ: พฤษภาคม 24, 2022, 11:45:47 AM »

Permalink: บันทึกแนวทางกรรมฐานละกำหนัดเมถุน
คติธรรมจาก อาทิตตปริยายสูตร

- ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ รูป เสียง กลิ่น รส โผฐฐัพพะ ธัมมารมณ์ เป็นของร้อน
- ความรู้สึกอารมณ์ใดๆเกิดขึ้นเพราะอาศัยตา-หู-จมูก-ลิ้น-กาย-ใจ..สัมผัส เป็นสุขก็ดี เป็นทุกข์ก็ดี ไม่สุขไม่ทุกข์ก็ดี เป็นของร้อน
- ร้อนเพราะไฟ คือ ราคะ, โทสะ, โมหะ
- ความมีใจเข้ายึดครองอายตนะ ๑๒ และความรู้สึกอารมณ์ เป็นที่ตั้งแห่งไฟ เผาให้ร้อน ไม่เอาใจเข้ายึดครองมีไว้สักว่ารู้ก็ไม่ร้อน

*คติธรรมนำมาใช้ในชีวิตทั้งทางโลกและทางธรรม*
๑. โลกธรรม ๘ เป็นของร้อน ไม่ควรเอาใจเข้ายึดครอง
๒. ทำสิ่งใดด้วยอาศัยความรู้สึก ไม่ใช้ปัญญา ย่อมนำทุกข์ร้อนมาให้
๓. สิ่งทีใจรู้ความรู้สึกอารมณ์อันเกิดแต่ผัสสะทั้งหลาย(ธรรมารมณ์ทั้งปวง) ไม่ควรเอาใจเข้ายึดครอง หมายปอง สำคัญมั่นหมายกับใจ เพราะเป็นของร้อน ร้อนเพราะไฟคือราคะ ร้อนเพราะไฟคือโทสะ ร้อนเพราะไฟคือโมหะ พึงละความรู้โดยสมมติเหล่านั้นไปเสีย เพื่อไม่ให้ไฟแผดเผากายใจตน ให้ทำสักแต่ว่ารู้ แล้วปล่อยผ่านไป ไม่ควรเสพย์ ถึงความว่าง ความไม่มี ความสละคืน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤษภาคม 26, 2022, 09:27:47 PM โดย เกียรติคุณ » บันทึกการเข้า
เกียรติคุณ
ผู้ปฏิบัติธรรม
*****

พลังความดี : 65


เพศ: ชาย
อายุ: 46
กระทู้: 958
สมาชิก ID: 841


« ตอบ #347 เมื่อ: พฤษภาคม 25, 2022, 08:39:49 PM »

Permalink: บันทึกแนวทางกรรมฐานละกำหนัดเมถุน
..คติธรรมจาก พรหมชาลสูตร..

..กล่าวถึงการที่มีพรามณ์ ๒ คน คนหนึ่งไล่ตามติเตียน อีกคนไล่ตามสรรเสริญพระพุทธเจ้าไปตลอดทางจนสิ้น
..พระตถาคต ตรัสสอนให้ละอารมณ์ความรู้สึกต่อคำนินทาสรรเสริญนั้น แล้วใช้ปัญญาไตร่ตรองแทงตลอดไปจนถึงทิฏฐิ ภูมิความรู้ ความเชื่อ อุปาทาน

*คติธรรมนำมาใช้ในชีวิตทั้งทางโลกและทางธรรม*
๑. ละอารมณ์ความรู้สึก ไม่หวั่นไหวต่อคำนินทาสรรเสริญ
๒. พิจารณาในคำพูดเหล่านั้นว่า มีในเรา หรือไม่มีในเรา เพื่อปรับปรุงตน
๓. พิจารณาถึงความเห็น ภูมิความรู้ วิธีคิด ความเชื่อ สิ่งที่เขายึดหลงจากคำพูดนั้น ทำให้เรารู้ภูมิความรู้แนวคิดของเขา
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤษภาคม 26, 2022, 09:27:40 PM โดย เกียรติคุณ » บันทึกการเข้า
เกียรติคุณ
ผู้ปฏิบัติธรรม
*****

พลังความดี : 65


เพศ: ชาย
อายุ: 46
กระทู้: 958
สมาชิก ID: 841


« ตอบ #348 เมื่อ: พฤษภาคม 25, 2022, 09:09:51 PM »

Permalink: บันทึกแนวทางกรรมฐานละกำหนัดเมถุน
เมตตา คือ กำลังที่แผ่ไป เนื่องด้วยรูป
กรุณา คือ กำลังที่แผ่ไป เนื่องด้วยใจ
มุทิตา คือ จิตจับที่จิตรวมไว้ในภายใน มีกำลังแผ่ไปโดยธัมมารมณ์
อุเบกขา คือ ความไม่ทำเจตนา
เข้าสู่เนวสัญญานาสัญญายตะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤษภาคม 27, 2022, 12:19:26 AM โดย เกียรติคุณ » บันทึกการเข้า
เกียรติคุณ
ผู้ปฏิบัติธรรม
*****

พลังความดี : 65


เพศ: ชาย
อายุ: 46
กระทู้: 958
สมาชิก ID: 841


« ตอบ #349 เมื่อ: พฤษภาคม 25, 2022, 09:10:03 PM »

Permalink: บันทึกแนวทางกรรมฐานละกำหนัดเมถุน
ปุถุชนรู้ธรรมใดก็เเสพย์ธรรมนั้น

ปุถุชนเสพย์ธรรมใดก็อุปาทานธรรมนั้น

ธรรมปลอมมีมากในปุถุชน เห็นสิ่งใดให้รู้สักแต่ว่าเห็นเป็นเพีจงอาการหนึ่งๆของจิตที่มีอยู่นับล้านๆแบบ ซึ่งมีอยู่ทั่วไป ไม่ได้สำคัญอะไรเกินนี้ ของแท้มีแค่ในพระอริยะเท่านั้น การรับฟังกันแม้สามีภรรยาคุยกัน ก็ชื่อว่า สุตะ แต่การรู้จากปุถุชนยังต้องใช้ปัญญากลั่นกรองเพราะของปลอมมีมาก ดังนี้..
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤษภาคม 27, 2022, 09:28:13 PM โดย เกียรติคุณ » บันทึกการเข้า
เกียรติคุณ
ผู้ปฏิบัติธรรม
*****

พลังความดี : 65


เพศ: ชาย
อายุ: 46
กระทู้: 958
สมาชิก ID: 841


« ตอบ #350 เมื่อ: พฤษภาคม 25, 2022, 09:12:29 PM »

Permalink: บันทึกแนวทางกรรมฐานละกำหนัดเมถุน
แก้ปัญหาชีวิตด้วย อริยะสัจ ๔

- ทุกข์ หรือปัญหาชิวิตของเราเป็นแบบไหน
- เหตุแห่งทุกข์ หรือต้นเหตุปัญหาของเราคืออะไร
- ความดับทุกข์ หรือหมดสิ้นปัญหาของเราเป็นแบบไหน
- ทางดับทุกข์ หรือทางแก้ปัญหาของเราคืออะไร

๑. ทำความเข้าใจในทุกข์ หรือปัญหาชีวิต เพื่อรู้ตัวทุกข์ หรือปัญหานั้น และเหตุสืบต่อของมัน
๒. ละที่เหตุแห่งทุกข์ หรือต้นเหตุของปัญหา
๓. ทำความสิ้นไปแห่งทุกข์ หรือความหมดสิ้นปัญหาให้แจ้ง เพื่อรู้ว่าความสิ้นทุกข์ หรือปัญหามีได้เพราะอะไร ทำสิ่งใด ละสิ่งใด
๔. ทำในทางดับทุกข์ หรือทางแก้ไขปัญหาให้มาก
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤษภาคม 27, 2022, 09:27:57 PM โดย เกียรติคุณ » บันทึกการเข้า
เกียรติคุณ
ผู้ปฏิบัติธรรม
*****

พลังความดี : 65


เพศ: ชาย
อายุ: 46
กระทู้: 958
สมาชิก ID: 841


« ตอบ #351 เมื่อ: พฤษภาคม 25, 2022, 09:13:11 PM »

Permalink: บันทึกแนวทางกรรมฐานละกำหนัดเมถุน
จะทำจิตอย่างไร?

เมื่อ “กามราคะ” แผดเผา เสียดแทง

.
…. “ พระวังคีสเถระ เมื่อยังไม่เป็นพระอรหันต์ บวชได้ใหม่ๆ เที่ยวบิณฑบาตพบสตรีคนหนึ่งเข้า ราคะเกิดขึ้นเสียดแทงจิต ต้องเข้าไปขอความช่วยเหลือจากพระอานนท์ :
…. “ กามราคะแผดเผาภายในของข้าพเจ้า จิตของข้าพเจ้าถูกไฟไหม้เสียแล้ว อุบายอย่างใดเป็นเครื่องดับได้ดี ข้าแต่ท่านผู้โคตมโคตร ! ขอท่านจงบอกเพื่อความเอ็นดูแก่ข้าพเจ้าเถิด.”
…. ท่านขอร้องกับพระอานนท์.
.
…. พระอานนท์จึงเตือนสติว่า...
…. “ เพราะยึดมั่นนิมิตนั่นไว้ด้วยสัญญา จิตของท่านจึงเดือดพล่าน #ท่านจงเว้นนิมิตที่ท่านเห็นว่างามและชวนกำหนัดนั่นเสียเถิด.
     จงอบรมจิตในอารมณ์ที่ไม่งามให้แน่วแน่เป็นหนึ่ง
     จงมองให้เห็นสังขารทั้งปวง เป็นของผู้อื่น เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
     จงดับความกำหนัดอันหยาบใหญ่เสียแล้วอย่าฟุ้งขึ้นอีก”
นี่เป็นคำเตือนสติของพระอานนท์.
ใน “อัฏฐกถาหาริตชาดก นวกนิบาต” เล่าเรื่องนี้ไว้.”


พุทธทาสภิกขุ
ที่มา : จากหนังสือ “ตามรอยพระอรหันต์” พิมพ์ครั้งที่ ๘ สำนักพิมพ์สุขภาพใจ, หน้า ๒๕๑
หมายเหตุ :
“กามราคะ” คือ ความกำหนัดด้วยอำนาจกิเลสกาม, ความใคร่ในกาม ( ข้อ ๔ ในสังโยชน์ ๑๐ )
“โคตมโคตร” คือโคตรเดียวกับพระผู้มีพระภาค ( ในที่นี้ หมายถึง พระอานนท์ )
“นิมิต” คือ เครื่องหมาย หรือ ภาพที่เป็นอารมณ์
“สัญญา” คือ ความจำได้หมายรู้ คือ หมายรู้ไว้ซึ่ง รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ และอารมณ์ที่เกิดกับใจ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤษภาคม 27, 2022, 12:20:45 AM โดย เกียรติคุณ » บันทึกการเข้า
เกียรติคุณ
ผู้ปฏิบัติธรรม
*****

พลังความดี : 65


เพศ: ชาย
อายุ: 46
กระทู้: 958
สมาชิก ID: 841


« ตอบ #352 เมื่อ: พฤษภาคม 25, 2022, 09:14:35 PM »

Permalink: บันทึกแนวทางกรรมฐานละกำหนัดเมถุน
..สมมติจิต..

จิตรู้สิ่งใดสิ่งนั้นเป็นสมมติทั้งหมด
รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสกาย สัมผัสใจ ความรู้สึกนึกคิดในรัก ใคร่ อยาก โลภ โกรธ เกลียด ชัง กลัว หลง
ทั้งหมดล้วนเป็นแค่สมมติธัมมารมณ์ที่กิเลสวางไว้ล่อจิตทางมโนทวารให้หลงตามเท่านั้น ของจริงมันดับไปแล้ว แต่ใจเราเอามาตรึกนึก ด้วยหมายรู้ แล้วคิดสืบต่อเรื่องราวตามความจำได้หมายรู้ทำให้เหมือนมันเพิ่งเกิดขึ้น
ไม่ยึดสิ่งที่จิตรู้..ก็ไม่ยึดสมมติ
ลมหายใจนี้ของจริง
อย่าทิ้ง "พุทโธ"..อย่าทิ้ง "ลมหายใจ"


หลวงพ่อเสถียร ธิระญาโน


------------------------------------------------------


บันทึกกรรมฐาน ปี 64 ก่อนเข้าพรรษา เมตตาตนเอง+อานาปานสติ+จาคะ

..ลมหายใจนี้ไม่มีทุกข์ ลมหายใจนี้ไม่มีโทษ ลมหายใจนี้เป็นที่สบาย
..แล้วก็เอาใจมาจับรู้ลมหายใจ

..หายใจเข้า ระลึกถึงความว่าง โล่ง เบาสบาย เอาใจลอยขึ้นตามลมหายใจเข้า ลอยอยู่เหนืออารมณ์ความรู้สึกนึกคิด อัดอั้นกายใจทั้งปวง
..หายใจออก ระลึกถึงความปลดปล่อยกายใจของเราออกจากทุกสิ่งทุกอย่าง มันเบา สบาย เย็นใจ ผ่อนคลายๆ

หายใจเข้าจิตเบา โล่ง สบาย เย็นใจ ไม่มีเรื่องเครียด
หายใจออก เบาสบาย เย็นใจ ผ่อนคลาย ผ่อนคลาย

หายใจเข้า จิตเบา โล่ง สบาย เย็นใจ
หายใจออก ผ่อนคลาย ผ่อนคลาย



------------------------------------------------------


โรคซึมเศร้า

เกิดจากการย้ำคิดย้ำทำกับความผิดหวังซ้ำๆ เศร้า เหงา กลัว

..ทางแก้ไข คือ ยอมรับความจริง เมตตาให้อภัยตนเอง ทำใจให้ผ่อนคลาย ดังนี้

..ยอมรับความจริงกับทุกเรื่องที่เกิดขึ้น หายใจเข้า
..ให้อภัยตนเอง หายใจออก

..อภัยให้ตนเอง หายใจเข้า
..อภัยให้คนเอง หายใจออก

..ทำใจถึงความว่าง โล่ง
หายใจเข้า ใจเราเบาลอยขึ้นตามลมหายใจเข้าพ้นจากความคิดทั้งปวง
..ทำใจว่าเราปลดปล่อยตนเองจากพันธนาการทั้งปวง.  หายใจออก  จิตเบาโล่ง สบาย ผ่อนคลาย

..หายใจเข้า ว่าง โล่ง เย็นใจ
..หายใจออก ปล่อย เบาใจ ผ่อนคลายๆ



------------------------------------------------------
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤษภาคม 27, 2022, 10:30:45 PM โดย เกียรติคุณ » บันทึกการเข้า
เกียรติคุณ
ผู้ปฏิบัติธรรม
*****

พลังความดี : 65


เพศ: ชาย
อายุ: 46
กระทู้: 958
สมาชิก ID: 841


« ตอบ #353 เมื่อ: พฤษภาคม 25, 2022, 09:14:58 PM »

Permalink: บันทึกแนวทางกรรมฐานละกำหนัดเมถุน
..สมมติจิต..

จิตรู้สิ่งใดสิ่งนั้นเป็นสมมติทั้งหมด
รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสกาย สัมผัสใจ ความรู้สึกนึกคิดในรัก ใคร่ อยาก โลภ โกรธ เกลียด ชัง กลัว หลง
ทั้งหมดล้วนเป็นแค่สมมติธัมมารมณ์ที่กิเลสวางไว้ล่อจิตทางมโนทวารให้หลงตามเท่านั้น ของจริงมันดับไปแล้ว แต่ใจเราเอามาตรึกนึก ด้วยหมายรู้ แล้วคิดสืบต่อเรื่องราวตามความจำได้หมายรู้ทำให้เหมือนมันเพิ่งเกิดขึ้น
ไม่ยึดสิ่งที่จิตรู้..ก็ไม่ยึดสมมติ
ลมหายใจนี้ของจริง
อย่าทิ้ง "พุทโธ"..อย่าทิ้ง "ลมหายใจ"


หลวงพ่อเสถียร ธิระญาโน


------------------------------------------------------


บันทึกกรรมฐาน ปี 64 ก่อนเข้าพรรษา เมตตาผู้อื่น

๑. มีจิตตั้งมั่นอยู่ ด้วยใจหมายให้หมู่สัตว์ได้รับประโยชน์สุขสำเร็จดีงาม น้อมใจไปในความสละ ชำระกิเลสออกจากใจ คือ ปราศจาก รัก ชัง กลัว หลง

..หากสละไม่ได้ ให้ทำความสงบใจผ่อนคลาย โดยตั้งใจว่า
- เราจะไม่เอากิเลสตนไปแผดเผาผู้อื่น
- เห็นเสมอกันด้วยธาตุมีใจครอง, กิเลส, กรรม
- พระพุทธเจ้าทรงแผ่ฉัพพรรณรังสีนำไป

๒. มีใจสงเคราะห์ปลดปล่อยสัตว์จากความทุกข์ ดังนี้..
๒.๑) ภายใน คือ ใจถึงกุศล ปราศจากกิเลสความเร่าร้อนแผดเผากายใจ



------------------------------------------------------


โรคไบโพล่า

เป็นการเกิดขึ้นทับซ้อนกันของจิตใต้สำนึกที่เก็บกด โกรธ แค้น กับใจที่รับรู้โดยขาดสติสัมปะชัญญะในปัจจุบัน

..วิธีบำบัด คือ ฝึกจิตให้เมตตา รู้ตัวในปัจจุบัน ดังนี้

..ปัจจุบัน เกิดความรู้สึกรัก ชัง กลัว หลง อันใดขึ้นกับใจเรา-ก็รู้ว่าความรู้สึกนั้นเกิดขึ้น ให้รู้ว่าความรู้สึกนั้นเป็นแค่สมมติปรุงแต่งจิตตามความยินดี-ยินร้ายของเรา หลงตามก็มีแต่ทุกข์ ไม่ยึดสิ่งที่ใจรู้ ก็ไม่หลงตามสมมติ ของแท้มีแค่ลมหายใจที่ไม่ปรุงแต่งจิต ให้รู้ลมหายใจเข้า-ออก รู้อิริยาบถ รู้กิจการงานที่เราทำอยู่ในปัจจุบัน



------------------------------------------------------


๒.๒) ภายนอก คือ พ้นจากภัยอันตรายทั้งปวง ไม่มีทุกข์-โทษ-เวร-ภั
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤษภาคม 27, 2022, 10:24:52 PM โดย เกียรติคุณ » บันทึกการเข้า
เกียรติคุณ
ผู้ปฏิบัติธรรม
*****

พลังความดี : 65


เพศ: ชาย
อายุ: 46
กระทู้: 958
สมาชิก ID: 841


« ตอบ #354 เมื่อ: พฤษภาคม 25, 2022, 09:15:05 PM »

Permalink: บันทึกแนวทางกรรมฐานละกำหนัดเมถุน
..แก้โรควิตกกังวล..

สงบนิ่ง หายใจเข้านึกถึงความว่าง โล่ง เบา เย็นใจ
หายใจออก นึกถึงความผ่อนคลายๆ สบายกายใจ

ทำสิ ทำเพราะรู้ว่ามันคือสิ่งดี คือชีวิต คืออนาคตเรา คือยารักษาบำบัดจิตเรา รักษาจิตก็แก้ด้วยจิต ดังนั้นให้ตั้งใจมทำ เบื่อก็ทำเพราะเป็นยารักษาบำบัดจิตเรา เป็นหน้าที่ของเราที่ต้องกินยารักบำบัด

- เวลาที่ฟุ้งซ่านเป็นเวลาที่เหมาะแแก่ ปัสสัทธิ คือ ความสงบใจ

- ความสงบจะมีลักษณะอาการที่..ผ่อนคลาย ปล่อย ละ วาง ไม่ยึด ไม่เกาะ ไม่เกี่ยว ไม่จับ ไม่คิดสิ่งใด มันว่าง โล่ง เบา เย็นใจ เป็นที่สบายกายใจ จิตใจเป็นอิสระสุข พ้นจากเครื่องผูกมัดร้อยรัดหน่วงตรึงใจทั้งปวง



- เวลาเราคิดถึงมัน ให้รู้ว่าเราคิดเรื่องลามกอีกแล้ว แล้วก็ระลึกในใจว่า..คิดหนอๆ (รู้ตัวว่าเรากำลังคิด) แล้วก็ให้รู้ตัวว่าความคิดนั้นมันมีโทษ มันทำให้เราทรมานร้อนรุ่มกายใจอยู่ปกติเย็นนใจไม่ได้ กระสับกระส่ายทรมาน ดังนั้นให้ทิ้งความคิดนั้นไปอย่าสนใจ แล้วไปหาอย่างอื่นทำ ถ้าไม่มีอะไรทำให้อยู่กับปัจจุบัน คือ กำลัง ยืน เดิน นั่ง นอน กิน ขี้ ฉี่ ขับรถ ทำงาน เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ได้สัมผัส ก็ให้รู้ว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ในปัจจุบัน เช่น..

- อยู่อิริยาบถใดก็รู้ แล้วก็ทำใจรู้ว่าเรากำลังทำอิริยาบถนั้นๆอยู่
..ยืนก็ยืนหนอๆ(รู้ตัวว่ากำลังยืนอยู่) นั่งก็นั่งหนอๆ(รู้ตัวว่ากำลังนั่งอยู่) นอนก็นอนหนอๆ(รู้ตัวว่ากำลังนอนอยู่) เดินก็เดินหนอๆ(รู้ตัวว่ากำลังเดินอยู่) วิ่งก็วิ่งหนอ(รู้ตัวว่ากำลังวิ่งอยู่)

- ทำกิจการงานใดอยู่ก็รู้ว่ากำลังทำงานนั้นๆอยู่ แล้วก็ตั้งใจทำงานนั้นต่อให้เสร็จ
..เรียนอยู่ก็เรียนหนอๆ(รู้ว่าเรากำลังเรียนรู้อยู่ แล้วก็เอาใจจดจ่อการเรียนว่าเรากำลังวิชาอะไร บทไหน หัวข้ออะไร ทำลังเรียนถึงตรงไหน เนื้อหาอะไร)
..อ่านหนังสืออยู่ก็อ่านหนอๆ(รู้ว่าเรากำลังอ่านหนังสืออยู่ แล้วก็เอาใจจดจ่อกับหนังสือที่ออ่านว่า เรากำลังอ่านวิชาอะไร บทไหน หัวข้ออะไร กำลังอ่านถึงตรงไหน เนื้อหาอะไร)
..กินอยู่ก็กินหนอๆ(รู้ตัวว่ากำลังกินอยู่) ขี้อยู่ก็ขี้หนอๆ(รู้ตัวว่ากำลังขี้อยู่) ฉี่อยู่ก็ฉี่หนอๆ(รู้ตัวว่ากำลังฉี่อยู่) ขับรถก็ขับรถหนอๆ(รู้ตัวว่ากำลังขับรถอยู่)

- รับรู้อะไรได้ก็รู้
..เห็นก็เห็นหนอๆ(รู้ตัวว่ากำลังเห็นอยู่.. โดยมองในปัจจุบันที่เห็น ไม่คิดสืบต่อเกินกว่าที่เห็นในปัจจุบันจนไหลไปในเรื่องลามก ไม่มองส่วนเล็กส่วนน้อย รู้อยู่เฉพาะปัจจุบันที่เห็นไม่คิดสืบต่อ ไม่ให้ความสำคัญใจแล้วก้อปล่อยมันไป)
..ได้ยินก็ได้ยินหนอๆ(รู้ตัวว่าได้ยินเสียง ทำใจแค่รู้ว่าหูได้ยินเสียง ไม่ให้ความสำคัญใจแล้วก็ปล่อยมันไป)
..ได้กลิ่น ได้รู้รสอะไรก็รู้ว่าได้กลิ่น ได้รู้รส สัมผัสกาย ก็แค่รู้ว่าสัมผัสไม่คิดสืบต่อเกินกว่าที่เรารับรู้ไหลไปเรื่องลามก
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤษภาคม 27, 2022, 11:08:02 PM โดย เกียรติคุณ » บันทึกการเข้า
เกียรติคุณ
ผู้ปฏิบัติธรรม
*****

พลังความดี : 65


เพศ: ชาย
อายุ: 46
กระทู้: 958
สมาชิก ID: 841


« ตอบ #355 เมื่อ: พฤษภาคม 25, 2022, 09:15:14 PM »

Permalink: บันทึกแนวทางกรรมฐานละกำหนัดเมถุน
#เมตตาผู้อื่น

- ขอให้สัตว์ทั้งหลายจงเป็นสุขเป็นสุขเถิด
- อย่าได้มีเวรภัย ความโกรธ เกลียด ชิงชัง ซึ่งกันและกันเลย
- อย่าได้มีความพยายาท ผูกแค้น มุ่งร้ายซึ่งกันและกันเลย
- อย่าได้มีความทุกข์กายทุกข์ใจ อย่าได้มีโรคภัยเบียดเบียน อย่าได้มีความหิวกระหาย อย่าได้มีสะดุ้งหวาดกลัวเลย
- ขอให้สัตว์ทั้งหลายจงมีความสุขกายสุขใจ กินอิ่ม หลับสบาย กายใจเป็นสุข รักษาตนให้รอดพ้นจากทุกข์ภัยทั้งสิ้นเทอญ


------------------------------------

คนทุกคนมีร่างกายเหมือนเรา กินแล้วก็ต้องขี้ กินแล้วก็ต้องฉี่เ หมือนกัน เสมอกันไม่ว่าเราหรือใคร
- เรามี เรากิน เราอยู่ เขาก็มี เขาก็กิน เขาก็อยู่
- เขามีรัก ชัง กลัว หลง เราก็มีรัก ชัง กลัว หลง
- เราไม่มีอะไรต่างจากคนอื่นเลย เขาก็เหมือนเรา เราก็ไม่ต่างจากเขา เผลอๆคนอื่นเขาใจสะอาด กายสะอาดกว่าเดราด้วยนะ

- ให้มองคึนอื่นเสมอเหมือนตัวเอง แล้วเมตตาคนอื่นด้วยความเอ็นดู เราอยากให้้คนรักเราก็รักคนอื่น เราอยากให้คนอื่นคิดดีกับเรา เราก็คิอดดีีกับคนอื่น เราอยากสบายไม่มีทุกข์ อยากอยู่เป็นสุขโดยไม่มีรัก ชัง กลัว หลง เราก็เมตตาคนอื่นให้คนอื่นอยู่เป็นสุขไม่มีทุกข์ ปราศจากรัก ชัง กลัว หลง เหมือนเรา
- เวลาเจอใคร เกลียดสิ่งใด ให้ตั้งใจแผ่เอาความปารถนาดีมีสุขต่อเขา เสมอเหมือนเราต้องการให้มีความสุขกายสบายใจเหิดขึ้นกับเรา แผ่ให้เขาไป
..ไม่ว่ากายเรา กายเขาก็เป็นของสกปรกเสมอกัน เป็นของที่มีความเสื่อมโทรมอยู่ตลอดเวลา เราจะำไปรังเกลียดสิ่งที่เสมอเหมือนตัวเรา ก็เท่ากับเรารังเกลียดตัวเอง แผ่เอาใจที่ปราศจากความเกลียดชัง ด้วยใจยินดี เต็มใจ เข้าใจทุกอย่าง เข้าใจโลก เข้าใจความเสมอกัน ควรเอื้อเฟื้อกัน
..หากไปเจอที่สกปรกไม่ดี เราก็เลือกสถานที่ที่สะอาดที่ดีที่พอเหมาะกับเรา หากเลี่ยงสถานที่นั้นไม่ได้ก็ให้เราทำความสะอาดพื้นที่นั้นๆให้พอดีที่เราจะอยู่จะใช้มันได้
..เราทำความสะอาดให้ไปก็เป็นทานบารมีแก่เรา ดังนั้นเราทำไปอย่าไปคิดว่ายุงยากน่ารำคาญ แต่คิดว่าสละทำให้เป็นทาน นี้ได้ทานบารมีด้วย
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤษภาคม 27, 2022, 10:32:14 PM โดย เกียรติคุณ » บันทึกการเข้า
เกียรติคุณ
ผู้ปฏิบัติธรรม
*****

พลังความดี : 65


เพศ: ชาย
อายุ: 46
กระทู้: 958
สมาชิก ID: 841


« ตอบ #356 เมื่อ: พฤษภาคม 25, 2022, 09:15:40 PM »

Permalink: บันทึกแนวทางกรรมฐานละกำหนัดเมถุน
กรรมฐานจาก คันธภกสูตร ทุกข์เพราะฉันทะราคะ

คันธภกสูตร ฉันทะราคะเป็นเหตุแห่งทุกข์
เพราะมีฉันทะราคะกับ คน สัตว์ สิ่งของที่ตนเอาใจครอบครองอยู่ หรือที่ตนมีอยู่ เช่น ลูก เมีย สามี พี่ น้อง พ่อ แม่ ญาติสนิท มิตรสหาย

..แก้โดยโพชฌงค์ตามกาล คือ ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ เป็นความสงบใจจากกิเลสด้วยปัญญารู้เห็นตามจริง มีอาการที่สงบรำงับ ผ่อนคลาย เบาใจ เย็นใจ ไม่เร่าร้อน ปลงใจ ปล่อย ไม่เกี่ยวยึด
..ปุถุชนเรานี้แก้อุปาทานจากฉันทะราคะให้ถึงความสงบใจจากกิเลสโดย รู้ในกรรมตามจริงว่า มีกรรมนำพาให้พบเจอเป็นไป
..ทั้งกรรมในอดีตที่ทำมาแต่ชาติปางก่อน ..ชาติก่อนอาจเลว-ชาตินี้อาจเลว ..ชาติก่อนอาจเลว-ชาตินี้อาจดี ..ชาตินี้อาจดี-ชาติก่อนอาจเลว ..ชาติก่อนอาจดี-ชาตินี้ก็ดียิ่งขึ้น ทุกๆอย่างทุกๆการกระทำล้วนมีผลสืบต่อ จะดี จะร้าย ล้วนแล้วแต่เป็นไปด้วยกรรม
..หรือกรรมในกาลที่ผ่านมานี้
..หรือกรรมในปัจจุบันกาลนี้
..สมดั่งพระศาสดาตรัสสอนใน อุเบกขาอัปปมัญญาว่า ..เรามีกรรมเป็นเหตุ มีกรรมเป็นของๆตน มีกรรมเป็นผู้ให้ผล มีกรรมเป็นที่ติดตาม อาศัย เราเป็นทายาทกรรม ..บุญบารมีที่ทำสะสมติดตัวมาเท่านั้นที่ช่วยค้ำไว้ได้ หนักเป็นเบา เบาเป็นไม่ส่งผล หากบุญกุศลทำมาน้อยกว่าบาปอกุศลก็ต้องรับผลเป็นไปตามอกุศลกรรมนั้น ไม่มีใครจะล่วฃพ้น หรือไปห้ามมันได้
..ดังนั้นอย่าไปคาดหวัง เพราะถึงคาดหวังหรือโหยหาประวนกระวายใจไปก็ช่วยอะไรไม่ได้ ทุกอย่างมันขึ้นอยู่ที่ตัวเขาทำเองทั้งนั้น
..ให้ตั้งความรู้ตัวเพียงในปัจจุบันไม่ยึดเอาสมมติกิเลสที่ปรุงแต่งจิตมาให้ใจรู้ คือ ความคิด ความตรึกถึง คำนึงถึง หวนระลึกถึงที่ติดตราตรึงใจ ยินดี โหยหา กระหาย ยินร้าย ผลักไสทั้งปวง เอาใจมารู้ของจริงที่ไม่เจือสมมติกิเลสปรุงแต่งจิต คือลมหายใจเรานี้แล อย่าทิ้ง..พุทโธ เพราะพุทโธนี้เป็นทั้งคุณูประการองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และเป็นกิริยาจิตที่เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน

สิ่งที่เป็นสุขที่สุดคือพ้นจากความคิดต่างๆ

- เอาใจเราอยู่เหนือความคิด อารมณ์ความรู้สึกเครียดๆทั้งปวง

- หายใจเข้า ทำใจเบา ว่าง โล่ง สบายๆ ไม่มีเรื่องเครียด ไม่มีเรื่องให้คิด

- หายใจออก ผ่อนคลายๆๆๆ

- ทำใจให้ว่าง โล่ง เบา สบาย หายใจเข้า

- ทำใจให้สบาย ผ่อนคลายๆ หายใจออก

เราจะรู้สึกเบาสบาย

https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=18&A=8263&Z=8344
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤษภาคม 27, 2022, 10:25:50 PM โดย เกียรติคุณ » บันทึกการเข้า
เกียรติคุณ
ผู้ปฏิบัติธรรม
*****

พลังความดี : 65


เพศ: ชาย
อายุ: 46
กระทู้: 958
สมาชิก ID: 841


« ตอบ #357 เมื่อ: พฤษภาคม 25, 2022, 09:16:45 PM »

Permalink: บันทึกแนวทางกรรมฐานละกำหนัดเมถุน
1.) แก้เป็นคนคิดมาก เก็บเอามาคิดทุกเรื่อง ย้ำคิด ย้ำทำ เอาใจไปผูกเกี่ยวไว้สำคัญมั่นหมายใจในความยินดียินร้ายกับทุกๆเรื่อง อยู่ด้วยอคติ ๔ คือ รัก, ชัง, กลัว, หลงไม่รู้ตามจริง

     ..เวลาเก็บอะไรมาคิดก็นึกเสียว่า ติดใจข้องแวะไปก็หาประโยชน์สุขไรๆไม่ได้นอกจากทุกข์ ติดใจข้องแวะไปก็มีแต่ทุกข์ ไม่ติดใจข้องแวะก้อไม่ทุกข์ ..ดังนั้นให้คิดเสียว่าอย่าไปติดใจข้องแวะมันเลย ช่างมัน ปล่อยมันไปบ้าง ให้จิตเราได้พักบ้าง
     ..โดยให้รู้ตัวว่า..เราเอาใจไปข้องเกี่ยวผูกใจไว้กับสิ่งนั้นๆมากไปจนเกินความจำเป็นให้ถูกทุกข์หยั่งเอาแล้ว เราควรปล่อย ควรละ ควรวางมันลงได้แล้ว ไม่ควรใส่ใจให้ความสำคัญมั่นหมายของใจกับสิ่งนั้นๆจนเกินความจำเป็นที่จะรับรู้ หรือทำในสิ่งนั้นๆ
     ..แล้วทำไว้ในใจถึงความปล่อย ความละ ความวาง ความสละคืน ความไม่ข้องเกี่ยวอีก คลายเงื่อนปมที่ผูกใจไว้ มีใจสลัดออกจากสิ่งนั้นๆ โดยสำเนียกไว้ในใจว่า..

..ติดใจข้องแวะ 100% ก็ทุกข์ 100%

..ติดใจข้องแวะ 75% ก็ทุกข์ 75%

..ติดใจข้องแวะ 50% ก็ทุกข์ 50%

..ติดใจข้องแวะ 25% ก็ทุกข์ 25%

..ไม่ติดใจข้องแวะเลย ก็ไม่ทุกข์เลย

..หมายเหตุ..
     ๑. ติดใจ แปลว่า ให้ความสำคัญมั่นหมายของใจกับสิ่งนั้นๆ ในความพอใจยินดี และไม่พอใจยินดี มีความติดตรึงใจยินดี, ข้องใจยินร้าย
     ๒. ข้องแวะ แปลว่า ใส่ใจให้ความสำคัญ, ข้องเกี่ยว
     ๓. ติดใจข้องแวะ แปลว่า ใส่ใจข้องเกี่ยวให้ความสำคัญมั่นหมายของใจในความพอใจยินดี และไม่พอใจยินดี

(2.) แก้เป็นคนคาดหวังกับทุกสิ่ง แคร์คนอื่นไปทั่ว

     ..อย่าเอาความสุขสำเร็จของตัวเองไปผูกขึ้นไว้กับคนอื่น สุข-ทุกข์มันเกิดขึ้นที่กายใจเรา ไม่ได้ขึ้นอยู่กับใคร
     ..ดังนั้น อย่าเอาความสุขสำเร็จของตนเองไปผูกขึ้นไว้กับผู้อื่น อย่าเอาเขามาเป็นชีวิต เป็นสุขทั้งชีวิตของเรา ให้รู้จักปล่อยผ่าน รู้จักละ รู้จักวาง ง
     ..ไม่ตั้งความคาดหวังปารถนา ที่จะได้รับผลการตอบสนองกลับให้เป็นไปดั่งที่ใจเราต้องการจากใคร เพราะเราไม่อาจจะไปคาดหวังปารถนากับสิ่งใดๆในโลกได้ ด้วยไม่มีอำนาจที่จะไปบังคับ สิ่งที่ไม่ใช่ตัวตน มีความแปรปรวนอยู่ตลอดเวลาจากใครได้
     ..ให้เอาใจมารู้อยู่ที่ปัจจุบัน รู้ลมหายใจ รู้ว่าตนกำลังทำอะไรอยู่ในปัจจุบัน ให้รู้หน้าที่ รู้กิจการงานสิ่งที่ตนต้องทำ สิ่งที่ถูก ที่ควรทำ กล่าวคือ รู้ธัมมารมณ์(สิ่งที่ใจรู้ทั้งปวง) ที่ควรเสพย์ และไม่ควรเสพย์ ได้แก่..

- รู้ความพอใจยินดีต่อารมณ์(โสมนัส) ที่ควรเสพย์ และไม่ควรเสพย์

- รู้ความไม่พอใจยินดีต่ออารมณ์(โทมนัส) ที่ควรเสพย์ และไม่ควรเสพย์

- รู้ความวางเฉยต่ออารมณ์(อุเบกขา) ที่ควรเสพย์ และไม่ควรเสพย์

กล่าวคือ…

- สิ่งใดมีคุณ มีประโยชน์สุขสำเร็จ ทำให้จิตผ่องใส มีใจเอื้อเฟื้อ เว้นจากความเบียดเบียน กุสลพอกพูน มีความรู้ตัวอยู่ทุกเมื่อ ไม่หลงลืม ตั้งอยู่โดยความไม่ประมาท
  ..สิ่งนั้นควรเสพย์

- สิ่งใดไม่มีคุณ ไม่มีประโยชน์ มีโทษ เป็นทุกข์ ยังความเสื่อมมาให้ ไม่รู้ตัว เป็นผู้หลงลืม ตั้งอยู่โดยความประมาท
  ..สิ่งนั้นควรละ

(3.) แก้เชื่อคนง่าย อ่อนไหวง่าย ใจง่าย เจ้าอารมณ์

     ..ใช้ปัญญา ตรองพิจารณารู้เห็นตามจริง ไม่ใช้ความรู้สึกเป็นที่ตั้ง
     ..กล่าวคือ..ความรัก โลภ โกรธ หลง มันคือสมมติกิเลสของปลอมที่วางไว้ล่อจิตให้หลงตาม สิ่งใดมีเกิดขึ้น ก็สักแต่ว่ารู้ว่ามันเกิด แล้วก็ปล่อยมันไป ช่างมัน อย่าสนใจให้ความสำคัญกับมัน อย่าใส่ใจสิ่งที่จิตรู้นั้น
     ..ให้เอากายใจเรามาอยู่กับปัจจุบัน รู้ตัวทั่วพร้อมว่ากำลังทำอะไร ยืน เดิน นั่ง นอน กิน ดื่ม ฉี่ ขี้ ทำงาน อยู่สภาพแวดล้อมใด ที่บ้าน ที่ตลาด ร้านอาหาร ที่ทำงาน ปัจจุบันตรงหน้าคืออะไร ทำงาน ประชุม เขียนงาน ดูงาน ปฏิบัติงาน ดูหนัง ฟังเพลง พูดคุย เห็นหรือฟังก็รู้แค่ในสิ่งที่เห็นที่ฟังในปัจจุบันไม่คิดสืบต่อเกินความจำเป็นที่จะต้องทำ
     ..ง่ายที่สุด คือ เอาจิตมารู้ลมหายใจ เพราะลมหายใจคือของจริงไม่ปรุงแต่งสมมติ, เป็นของไม่ปรุงแต่ง, ไม่ใช่เครื่องปรุงแต่งจิต"
- หายใจเข้าบริกรรม พุท ลากเสียงยาวสั้นตามลมหายใจเข้ายาวหรือสั้น
- หายใจออกบริกรรม โธ ลากเสียงยาวสั้นตามลมหายใจออกยาวหรือสั้น
- พุทโธ คือ องค์พระ พุทโธ คือ กิริยาจิต เป็นความรู้ของจิต ดังนี้..

๑. กิริยาจิตที่ รู้ ..รู้ของจริงต่างหากจากสมมติ คือ..
..รู้เห็นสมมติ คือ รู้ว่า..รัก โลภ โกรธ หลง สิ่งที่จิตรู้นี้ คือ สิ่งที่ปรุงแต่งอารมณ์ให้จิตหลงตาม ไม่ยึดสิ่งที่จิตรู้ก็ไม่ยึดสมมติ
..รู้ของจริง คือ ลมหายใจเป็นสิ่งที่ไม่ปรุงแต่ง เป็นที่สงบ สบาย ไม่มีทุกข์ ไม่มีโทษ
..รู้ปัจจุบัน คือ รู้ตัวทั่วพร้อมในปัจจุบันว่า กำลังรู้สึกนึกคิดอะไร กำลังทำกิจการงานใดๆอยู่ รู้ในปัจจุบันเพียงสิ่งที่เห็น ที่ได้ยิน ที่รู้กลิ่น ที่รู้รส ที่รู้สัมผัสกาย ที่รูปสัมผัสใจ คือ อารมณ์ความรู้สึกนึกคิดทั้งปวง รู้โดยไม่คิดสืบต่อเรื่องราวจากมันเกินสิ่งที่รู้อยู่ในปัจจุบันนั้นๆ นี้คือ จิตเป็นพุทโธ คือ ผู้รู้

๒. กิริยาจิตที่ ตื่น ..ตื่นจากสมมติกิเลสของปลอม คือ..
..เมื่อรู้ว่าสมมติกิเลสของปลอมเกิดขึ้น แล้วทำใจออกจากสมมติกิเลสของปลอมนั้น ไม่จับยึดสมมติกิเลสของปลอมอีก ..แล้วมารู้แค่ของจริง รู้อยู่ที่ปัจจุบัน ทำได้โดย..
..ไม่ยึดสิ่งที่จิตรู้ แล้วมารู้ลมหายใจ อันเป็นของที่ไม่ปรุงแต่งจิต ไม่ปรุงแต่งสมมติ รู้ปัจจุบันที่เป็นของจริงไม่คิดสืบต่อสมมติกิเลสจองปลอมจากสิ่งที่รู้อยู่ในปัจจุบัน

๓. กิริยาจิตที่ เบิกบาน ..เบิกบานพ้นจากสมมติกิเลสของปลอม จิตผ่องใส เบิกบาน เบา ว่าง โล่ง สงบ สยาย เย็นใจ ไม่เร่าร้อน
บันทึกการเข้า
เกียรติคุณ
ผู้ปฏิบัติธรรม
*****

พลังความดี : 65


เพศ: ชาย
อายุ: 46
กระทู้: 958
สมาชิก ID: 841


« ตอบ #358 เมื่อ: พฤษภาคม 25, 2022, 09:17:32 PM »

Permalink: บันทึกแนวทางกรรมฐานละกำหนัดเมถุน
(1)(.)เวลาเก็บอะไรมาคิดก้อ นึกเสียว่า ติดใจข้องแวะไปก้อหาประโยชน์สุขไรๆไม่ได้นอกจากทุกข์ ติดใจข้องแวะไปก็มีแต่ทุกข์ ไม่ติดใตจ้องแวะก้อไม่ทุกข์ ดังนั้นให้ระลึกรู้ดังนี้ว่า อย่าไปติดใจข้องแวะมัน ช่างมัน ปล่อยมันไปบ้าง ให้จิตเราได้พักบ้าง

(2)(.)อย่าเอาความสุขสำเร็จของตัวเองไปผูกขึ้นไว้กับคนอื่น สุข-ทุกข์มันเกิดขึ้นที่กายใจเรา ไม่ได้ขึ้นอยู่กับใคร ..ดังนั้น อย่าเอาความสุขสำเร็จของตนเองไปผูกขึ้นไว้กับใคร อย่าเอาเขามาเป็นชีวิต เป็นสุขทั้งชีวิตของเรา

(3)(.)ใช้ปัญญา ไม่ใช้ความรู้สึก
บันทึกการเข้า
เกียรติคุณ
ผู้ปฏิบัติธรรม
*****

พลังความดี : 65


เพศ: ชาย
อายุ: 46
กระทู้: 958
สมาชิก ID: 841


« ตอบ #359 เมื่อ: พฤษภาคม 25, 2022, 09:17:42 PM »

Permalink: บันทึกแนวทางกรรมฐานละกำหนัดเมถุน
บันทึกกรรมฐาน ปี 64 ก่อนเข้าพรรษา สิ่งที่เป็นสุขที่สุดคือพ้นจากความคิดต่างๆ

- เอาใจเราอยู่เหนือความคิด อารมณ์ความรู้สึกเครียดๆทั้งปวง

- หายใจเข้า ทำใจเบา ว่าง โล่ง สบายๆ ไม่มีเรื่องเครียด ไม่มีเรื่องให้คิด

- หายใจออก ผ่อนคลายๆๆๆ

- ทำใจให้ว่าง โล่ง เบา สบาย หายใจเข้า

- ทำใจให้สบาย ผ่อนคลายๆ หายใจออก

เราจะรู้สึกเบาสบาย
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤษภาคม 27, 2022, 12:28:52 AM โดย เกียรติคุณ » บันทึกการเข้า
หน้า: 1 ... 22 23 [24] 25 26 ... 31  ทั้งหมด   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


บทความและไฟล์ภาพ ในเว็บไซต์แห่งนี้อาจนำมาจากเว็บไซต์อื่นๆ ที่ทีมงานคิดว่ามีประโชยน์ต่อผู้อ่าน โดยให้ผู้อ่านเกิดควมบันเทิง และให้ความรู้ โดยที่เราจะให้เครดิตทุกครั้งที่นำมา หากไฟล์ภาพหรือบทความใด ที่เจ้าของลิขสิทธิ์ไม่ต้องการให้นำมาแสดง โปรดแจ้งมาที่ tumcomputer@hotmail.com ทางทีมงานจะได้นำบทความนั้นออกทันที ขอบคุณครับ


เว็บนี้จัดทำโดย นายสุรัตน์ ศรลัมภ์ และครอบครัว อุทิศบุญให้เจ้ากรรมนายเวร และผู้มีพระคุณ

HTML Hit Counters
Powered by SMF 1.1.17 | Simple Machines|Copyright © 20010 BY : thammaonline.com
บทความธรรมะรวมเรื่องกฏแห่งกรรมสมาธิ วิปัสนากรรมฐานพลังจิตกระดานถาม-ตอบ Sitemap

Google มาเยี่ยมเว็บเมื่อ มีนาคม 27, 2023, 04:13:10 PM