โรคซึมเศร้า
..สมมติจิต..
จิตรู้สิ่งใดสิ่งนั้นเป็นสมมติทั้งหมด
รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสกาย สัมผัสใจ ความรู้สึกนึกคิดในรัก ใคร่ อยาก โลภ โกรธ เกลียด ชัง กลัว หลง
ทั้งหมดล้วนเป็นแค่สมมติธัมมารมณ์ที่กิเลสวางไว้ล่อจิตทางมโนทวารให้หลงตามเท่านั้น ของจริงมันดับไปแล้ว แต่ใจเราเอามาตรึกนึก ด้วยหมายรู้ แล้วคิดสืบต่อเรื่องราวตามความจำได้หมายรู้ทำให้เหมือนมันเพิ่งเกิดขึ้น
ไม่ยึดสิ่งที่จิตรู้..ก็ไม่ยึดสมมติ
ลมหายใจนี้ของจริง
อย่าทิ้ง "พุทโธ"..อย่าทิ้ง "ลมหายใจ"
หลวงพ่อเสถียร ธิระญาโน
------------------------------------------------------
บันทึกกรรมฐาน ปี 64 ก่อนเข้าพรรษา เมตตาตนเอง+อานาปานสติ+จาคะ
..ลมหายใจนี้ไม่มีทุกข์ ลมหายใจนี้ไม่มีโทษ ลมหายใจนี้เป็นที่สบาย
..แล้วก็เอาใจมาจับรู้ลมหายใจ
..หายใจเข้า ระลึกถึงความว่าง โล่ง เบาสบาย เอาใจลอยขึ้นตามลมหายใจเข้า ลอยอยู่เหนืออารมณ์ความรู้สึกนึกคิด อัดอั้นกายใจทั้งปวง
..หายใจออก ระลึกถึงความปลดปล่อยกายใจของเราออกจากทุกสิ่งทุกอย่าง มันเบา สบาย เย็นใจ ผ่อนคลายๆ
หายใจเข้าจิตเบา โล่ง สบาย เย็นใจ ไม่มีเรื่องเครียด
หายใจออก เบาสบาย เย็นใจ ผ่อนคลาย ผ่อนคลาย
หายใจเข้า จิตเบา โล่ง สบาย เย็นใจ
หายใจออก ผ่อนคลาย ผ่อนคลาย
------------------------------------------------------
โรคซึมเศร้า
เกิดจากการย้ำคิดย้ำทำกับความผิดหวังซ้ำๆ เศร้า เหงา กลัว
.. เพราะความเอาใจเข้ายึดครองสิ่งที่อยู่เหนือการควบคลุม ไม่เที่ยง ไม่คงอยู่ยั่งยืนนาน เอาใจเข้ายึดของครองชั่วคราวที่อยู่เหนือการควบคุม ทำให้ใจเศร้าหมอง เกิดความหดหู่ ซึมเศร้า ไม่ยอมรับความจริง ไม่ยอมรับอารมณ์ ปลงใจจากเหตุการณ์ หรือ ไม่ยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้ ไม่ยอมรับสิ่งที่เป็น ไม่ยอมรับว่ามันอยู่เหนือการควบคุม จิตจึงกอดยึดไว้ ปล่อย ละ วาง สละคืนไม่ได้ จนเกิดเป็นความปกติเคยชินของจิต
.. ทำให้เมื่อเกิดอารมณ์ความรู้สึกที่จรมา สังขารปรุงแต่งจิตที่เกิดขึ้นให้ใจรู้(ธัมมารมณ์) แล้วยึดเสพย์ หรือกระทบสัมผัสสิ่งไรๆที่ทำความจดจำสำคัญมั่นหมายผูกขึ้นไว้กับจิตใต้สำนึกที่หดหู่ไม่รับอารมณ์ จึงเกิดอาการซึมเศร้า ทำให้เกิดเหตุการร้ายๆขึ้น เช่น การทำร้ายตัวเอง การฆ่าตัวตาย เป็นต้น
.. โรคซึมเศร้า และไบโพล่า ถือเป็นโรคทางจิตในทางการแพทย์ โดยในส่วนของพระพุทธศาสนานี้ ถือเป็นกิเลสที่นอนเนื่องใจจิตในสันดาร เรียกว่านิวรณ์ ซึ่งมีอยู่ ๕ อย่าง จำแนกได้ 10 เป็นสังโยชน์ 10 เมื่อจะแก้ ก็แก้ได้ด้วยโพชฌงค์ ๗ จำแนกได้ เป็น โพชฌงค์ ๑๔
(๑) ถีนมิทธะ คือความหดหู่ ความง่วงเหงาหาวนอน เป็นหนึ่งในนิวรณ์ ๕
ถีนมิทธนิวรณ์ เป็นไฉน?
ถีนมิทธะนั้น แยกเป็นถีนะอย่างหนึ่ง มิทธะอย่างหนึ่ง.
ถีนะ เป็นไฉน?
ความไม่สมประกอบแห่งจิต ความไม่ควรแก่การงานแห่งจิต ความท้อแท้ ความถดถอย ความหดหู่ ความห่อเหี่ยว อาการที่หดหู่ ภาวะที่หดหู่ ความซบเซา อาการที่ซบเซา ซึมเศร้า ภาวะที่ซบเซาแห่งจิต อันใด นี้เรียกว่า ถีนะ.
มิทธะ เป็นไฉน?
ความไม่สมประกอบแห่งนามกาย ความไม่ควรแก่งานแห่งนามกาย ความปกคลุม ความหุ้มห่อ ความปิดบังไว้ภายใน ความง่วงเหงา ความหาวนอน ความโงกง่วง ความหาวนอน อาการที่หาวนอน ภาวะที่หาวนอน อันใด นี้เรียกว่า มิทธะ
ถีนมิทธะ เกิดจาก อรติ คือ ความไม่ยินดี ความเกียจคร้าน และความเมาอาหาร คืออิ่มเกินไป แก้ได้ด้วยอนุสติ คือระลึกถึงคุณของพระรัตนตรัย เป็นต้น
(๒) เราย่อมไม่เล็งเห็นธรรมอื่นแม้อย่างหนึ่ง ที่จะเป็นเหตุให้ถีนมิทธะที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้น หรือถีนมิทธะที่เกิดขึ้นแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความเจริญไพบูลย์ เหมือนความไม่ยินดี ความเกียจคร้าน ความบิดขี้เกียจ ความเมาอาหาร และความที่จิตหดหู่
เมื่อบุคคลมีจิตหดหู่ ถีนมิทธะที่ยังไม่เกิด ย่อมเกิดขึ้น และถีนมิทธะที่เกิดขึ้นแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความเจริญไพบูลย์ ฯ
เราย่อมไม่เล็งเห็นธรรมอื่นแม้อย่างหนึ่ง ที่จะเป็นเหตุให้ถีนมิทธะที่ยังไม่เกิด ไม่เกิดขึ้น หรือถีนมิทธะที่เกิดขึ้นแล้ว อันบุคคลย่อมละได้ เหมือนความริเริ่ม ความพากเพียร ความบากบั่น
เมื่อบุคคลปรารภความเพียรแล้ว ถีนมิทธะที่ยังไม่เกิด ย่อมไม่เกิดขึ้น และถีนมิทธะที่เกิดขึ้นแล้ว อันบุคคลย่อมละได้ ฯ
(๓) สมัยใด จิตหดหู่ สมัยนั้น มิใช่กาลเพื่อเจริญปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ มิใช่กาลเพื่อเจริญสมาธิสัมโพชฌงค์ มิใช่กาลเพื่อเจริญอุเบกขาสัมโพชฌงค์ เพราะจิตที่หดหู่นั้น ยากที่จะให้ตั้งขึ้นได้ด้วยธรรมเหล่านั้น
สมัยใด จิตหดหู่ สมัยนั้น เป็นกาลเพื่อเจริญธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ เป็นกาลเพื่อเจริญวิริยสัมโพชฌงค์ เป็นกาลเพื่อเจริญปีติสัมโพชฌงค์ เพราะจิตหดหู่ จิตที่หดหู่นั้น ให้ตั้งขึ้นได้ง่ายด้วยธรรมเหล่านั้น
สติ มีประโยชน์ในที่ทั้งปวง
ถีนมิทธะ เป็นหนึ่งในนิวรณ์ 5 อันเป็นสิ่งกั้นจิตไม่ให้ก้าวหน้าในคุณธรรม ทำให้จิตเศร้าหมอง และทำปัญญาให้อ่อนกำลัง ซึ่งมีห้าอย่าง คือ กามฉันทะ, พยาบาท, ถีนมิทธะ, อุทธัจจกุกกุจจะ และวิจิกิจฉา
ทีนี้เราจะเอาธัมมะวิจยะ-การวินิจฉัยธรรมใดแก้ จะเอาวิริยะ-ความเพียรใดแก้ จะเอาปิติตความอิ่มใจใดแก้ไขรักษา
ทางแก้ให้ทำดังนี้
1. ให้เรามีสติเป็นเบื้องหน้า แล้วทำธัมมะวิจยะ คือ เอาใจวินิจฉัยเหตุว่า
..อาการที่จิตไม่ยอมรับอารมณ์ หดหู่ ซึมเศร้านี้ เกิดมาแต่ความไม่พอใจยินดีใส่สิ่งใด
..เพราะสิ่งใดเป็นเหตุ สิ่งใดเป็นผล
..เราเอาใจเข้ายึดครองสิ่งนั้นไว้อย่างไร คาดหวังไว้อย่างไรกับมัน
..เมื่อพิจารณารู้ต้นเหตุของมันแล้ว ก็ให้เราพึงรู้ว่า..สิ่งนั้นอยู่เหนือการควบคุมของเรา ไม่ใช่ตัวตน บังคับไม่ได้ ทุกสสิ่งทุกอย่างไม่อาจได้หรือเป็นไปดั่งใจเราปารถนาทั้งหมดทุกอย่าง สิ่งเหล่านั้นอยู่เหนือการควบคุรุมบังคับของเรา ไม่ใช่ตัวตน มันเป็นเพียงของชั่วคราว ถึงเวลาแล้วก็ดับไป พ้นไป พรัดพราก สูญไป ไม่ควรเอาใจเข้ายึดครอง ไม่ควรติดใจข้องแวะมัน ไม่ควรใส่ใจให้ความสำคัญจนเกินความจำเป็น
..หากเเราเอาใจไปผูกติดใจข้องแวะกับมันร้อย ก็ทุกข์ร้อย หากเราไม่เอาใจไปผูกติดข้องแวะกับมันเลย..ก็ไม่ทุกข์เลย
..สุข และทุกข์นี้ของเรา ไม่ได้ไปเกิดกับใคร สิ่งใด บุคคลใด หากแต่เกิดจากการวางใจของเรานี้เอง คือ หากเราสำคัญมั่นหมายใจกับสิ่งใดมากก็ทุกข์มาก หากเราสำคัญมั่นหมายใจกับสิ่งใดน้อยก็ทุกข์น้อย
..ดังนั้น อย่าเอาความสุขสำเร็จของตนไปผูกขึ้นไว้กับผู้อื่น หรือสิ่งอื่นใด เพราะมันหาประโยชน์สุขใดๆไม่ได้นอกจากทุกข์
..พึงถอนใจที่ยึดกอดมันอยู่นั้นออกไปเสีย
------------------------------------------------------
2. ให้ทำ เมตตาตนเอง + อานาปานสติ + จาคะ เพื่อเอาสติตั้งมั่นกับภายในใจตนเอง จิตก็จะมีกำลังตั้งขึ้น เป็นสร้างความสุขให้กายใจตนเอง มีความเพียรดำรงมั่นอยู่ด้วยใจไม่หวั่นไหวไปกับธัมมารมณ์ หรือ ไม่หวั่นไหวไปกับความตรึกนึกถึงสิ่งอื่นใดที่จรมาให้ใจเสพย์ แล้วคิดสืบต่อสิ่งที่นึกนั้นจนเกิดเป็นเรื่องราวให้ใจเศร้าหมอง นอกจากการทำไว้ในใจถึงความสละคืนใจที่เศร้าหมองทั้งปวงของเรา กล่าวคือ
๑.) เป็นการเพียงระวังความคิดเที่ทำให้ใจศร้าหมองที่ยังไม่เกิดขึ้น
๒.) เป็นการเพียรละความคิดที่ทำให้ใจเศร้าหมองที่เกิดขึ้นแล้ว
๓.) เป็นการเพียรทำใจให้เกิดความแจ่มใสเบิกบานขึ้นมา และฉลาดในการเลือกเสพย์อารมณ์ความรู้สึกนึกคิด
๔.) เป็นการประครองคงความแจ่มใสเบิกบานของใจเอาไว้ ไม่ให้เสื่อม
***วิธีเจริญ สติ และ สมาธิ ใดๆก็ตาม***
1. แรกเริ่มเลยต้องทำให้ใจเป็นกุศลก่อน คือ มีใจปราศจากความคิดกิเลสเครื่องเร่าร้อนเป็นไฟสุมใจ ใจจะเบาสบายไม่ติดใจข้องแวะโลก คิดแต่สิ่งดีงาม ไม่หน่วงตรึงจิต
2. เมื่อใจเป็นกุศลก็จะเกิดความเบา โล่ง เย็นใจ ไม่เร่าร้อน ไม่วอกแวก ไม่คิดมาก จิตใจก็จะผ่องใส
3. เมื่อจิตใจเราผ่องใสก็จะเหมาะแก่การทำสมาธิ
เมื่อรู้เงื่อนไขแล้วก็ให้เจริญปฏิบัติดังนี้
..ทางแก้ไข คือ ยอมรับความจริง เมตตาให้อภัยตนเอง ทำใจให้ผ่อนคลาย ดังนี้
..ยอมรับความจริงกับทุกเรื่องที่เกิดขึ้น หายใจเข้า
..ให้อภัยตนเอง หายใจออก
..อภัยให้ตนเอง หายใจเข้า
..อภัยให้คนเอง หายใจออก
..ทำใจถึงความว่าง โล่ง
หายใจเข้า ใจเราเบาลอยขึ้นตามลมหายใจเข้าพ้นจากความคิดทั้งปวง
..ทำใจว่าเราปลดปล่อยตนเองจากพันธนาการทั้งปวง. หายใจออก จิตเบาโล่ง สบาย ผ่อนคลาย
..หายใจเข้า ว่าง โล่ง เย็นใจ
..หายใจออก ปล่อย เบาใจ ผ่อนคลายๆ
** ทำไปเรื่อยๆจนจิตนิ่ง ถ้ายังไม่นิ่งก็ให้ทำสะสมเหตุไปเรื่อๆ จนถึงจุดๆนึงจะเกิดความอิ่มใจ สงบเบาเพราะใจปล่อย จิตเป็นสุข มีจิตตั้งมั่น มีสติคลุมอยู่ทุกเมื่อ **
------------------------------------------------------
3. เจริญมหาสติปัฏฐาน ๔ เพื่อช่วยให้รู้เท่าทันกายใจอยู่ตลอดเวลาไม่ให้เผลอไผล มีผลสืบต่อให้จิตเข้าถึงฌาณรู้เห็นตามจริงในธรรมทั้งปวง
กล่าวโดยย่อ คือ..
ก. รู้เท่าทันกายและใจ
ข. จำแนกจดจำให้มีสติตั้งมั่นขึ้นพิจารณาได้ดังนี้คือ
1. รู้ลมหายใจ หรือ พุทโธ + สัมปะชัญญะ
2. รู้สมมติกาย
3. รู้สมมติใจ
ค. มหาสติปัฏฐานสูตร จำแนกได้ ๔ ประการ คือ
1. กายานุปัสสนา
2. เวทนานุปัสสนา
3. จิตตานุปัสสนา
4. ธัมมานุปัสสนา
1. ก่อนหน้านี้ได้รู้วิธีทำ เมตตา + อานาปานสติ + จาคะ ไปแล้ว เมื่อเราจะเจริญ เราก็เอากรรมฐานกองเดิมนี้แหละทำให้สติตั้งมั่น ไม่วอกแวกอ่อนไหวง่าย รู้ยับยั้งช่างใจ แยกแยะพิจารณาได้ด้วยตัวเอง ไม่อ่อนไหวเอนเอียงไปตามอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดอันเกิดแต่สัมผัสเหล่าใดที่มากระทบกายใจตน
2. เมื่อได้ดั่งข้อที่ 1 นั่นหมายถึง สติและสัมปะชัญญะเรามีกำลังมากขึ้นแล้ว ทำให้มีจิตั้งมั่นอยู่ด้วยความรู้ตัวทั่วพร้อม แล้วจึงค่อยพิจารณาลง
- สมมติกาย(อาการ ๓๒, ธาตุ ๔, ธาตุ ๖, ป่าช้า ๙, อสุภะ ๑๐, ฌาณสมาธิ)
- สมมติใจ(เวทนา(สมมติเวทนาทางกาย สมมติเวทนาทางใจ), จิต(สมมติธัมมารมณ์), ธรรม(นิวรณ์ ๕, ขันรธ์ ๕, อริยะสัจ ๔))
------------------------------------------------------