เมื่อเกิดราคะ โทสะ โมหะ แล้วเมตตาแก่ตนเอง ให้ทานตนเอง, แผ่ศีลให้ตนเอง, ภาวนาพุทโธ + อานาปานสติ
..พึงรู้ด้วยปัญญาก่อนว่า เพราะจิตไม่กำลัง ขาดกำลังใจที่ดี กิเลสนิวรณ์จึงเข้าแทรก เมื่อคล้อยตามธัมมารมณ์ที่ใจรู้อันนั้น ใจเราก็จะฟุ้งซ่านไปตามกิเลสกาม โลภะ ราคะ โทสะ โมหะ เอนเอียงไปด้วย อคติ ๔ คือ..
รัก(อยาก ใคร่ ยินดี)
ชัง(โกรธ ริษยา ยินร้าย)
กลัว(ข้องใจ ระแวง)
หลง(ไม่รู้เห็นตามจริง ไม่รู้ปัจจุบัน หลงตามความคิดมี่ชอบ ที่ชัง)
ความฟุ้งซ่าน พระพุทธเจ้าพระบรมศาสดาสอนให้ทำความสงบใจจากกิเลส โดยใช้ธรรมแก้กิเลสทีเป็นธรรมตรงข้ามกับกิเลสนั้นเพื่อความตั้งขึ้นแต่จิตและสติก. หากทำด้วยเมตตา1. เมตตาตนเองโดยทาน คือ การให้ สละให้ ให้ทานตนเอง ถึงการให้อภัยทานแก่ตน คือ การให้ตนมีอิสระสุขพ้นจาก ไฟ คือ ราคะ ที่แผดเผากายใจตน
..เพราะความโลภ ตราตรึงใจ ติดตรึงใจ ให้กระสันใคร่เสพย์ปรนเปรอตนอยู่นั้น ทำให้ใจเราเร่าร้อน ใจกระวนกระวาย ใจระส่ำสั่นไหวไหลตามอารมณ์ใคร่ได้มาครอง ดั่งไฟสุมอยู่ในใจให้เร่าร้อน อยู่เป็นปกติสุขเย็นใจไม่ได้
..ดังนี้การให้อภัยทานแก่ตนเอง จึงเป็นการให้อิสระสุขยินดี สบาย ผ่อนคลาย ไม่เร่าร้อน ไม่มีโทษ ปราศจากเวร ปราศจากภัย ปราศจากความกระสันอยากให้แก่ตนเอง
..นั่นเพราะ ความโลภ กามตราตรึง นันทิติดตรึงใจ ราคะใคร่ปารถนาได้เสพย์นั้น คือ เวร และ ภัยอันตราย ต่อกายใจของเรานั่นเอง มันทำให้เราเร่าร้อนทนอยู่ได้ยาก อยู่เป็นปกติไม่ได้
..เราให้อภัยทานแก่ตนเองได้โดย การสละคืนโลภะ กาม ราคะ ความติดตราตรึงใจใคร่ได้ทั้งปวง เป็นทำให้กายใจเรานั้นถึงความอิ่มใจแก่ตนเอง ให้ความอิ่มพอแก่ตนเอง ให้ความพอเพียงกับตนเอง ใจก็จะไม่เร่าร้อนอยากได้เพราะใจอิ่มแล้ว พอแล้ว มีความอิ่มเต็มกำลังใจ ไม่แสวงหาอีก ด้วยละโลภได้แล้ว
- ตั้งจิตในปัจจุบันขณะนั้นๆว่า ..กามมันอิ่มไม่เป็น ได้เท่าไหร่ก็ไม่พอ แม้ได้สมใจอยากแล้วก็ยังจะแสวงหาอยู่อีกไม่มีสิ้นสุด กามมันอิ่มไม่เป็น ปัจจุบันนี้สิ่งที่เรามีอยู่ก็เพียงพอแล้ว ควรพอใจกับสิ่งที่มี ปัจจุบันที่มีก็มีค่าพอในสุขนี้แล้ว เราได้เคยแบ่งปันสิ่งของความสุขสำเร็จแก่ผู้อื่นมาแล้ว บัดนี้เราจักให้ทานตนเอง ลมหายใจตั้งไว้ในความอิ่มใจ ไม่ติดใจ ไหลตามสิ่งใด สิ่งภายนอกแค่ของปรนเปรออารมณ์ความรู้สึกอันเกิดแต่สัมผัสทาง ตา หู จมูก ลิ้น กายเท่านั้น ไม่ใช่สุขที่เนื่องด้วยใจอย่างแท้จริง สุขที่เนื่องด้วยใจ คือความอิ่มเอมใจ พอ ไม่ร้อนรุ่ม ดิ้นรนแสวงหา ไม่โลภ ไม่ติดตราตรึงใในสิ่งใด ไม่ใค่ได้หมายปองเสพย์สิ่งใดให้เร่าร้อน ทุกอย่างจะมีจะได้ตามเหตุปัจจัย สิ่งใดที่เป็นของเรามันก็จะเป็นของเราและเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมก็จะได้มาเอง แต่สิ่งที่ไม่ใช่ของเราอย่างไรก็ไม่ใช่ของเรา ดิ้นรนไขว่คว้าให้ตายก็ไม่ได้มาครอง เพราะใคร่อยากจึงเร่าร้อน เพราะเอาใจเข้ายึดครองหมายปองจึงถูกไฟราคะแผดเผา ถ้าเราพอแล้ว อิ่มแล้วก็ไม่เร่าร้อนกายใจ ไม่มีใจเข้ายึดครองหมายปองในสิ่งใดให้ร้อนรุ่มอีก ดังนี้..
พิจารณาปรับจิต
- หายใจเข้า กำหนดจิตนึกถึงความพอแล้ว ถอนใจออกจากความใคร่ปารถนา คือ ไฟราคะ ทั้งปวง ไม่เอาลมหายใจเอาความสุขสำเร็จของตนไปผูกขึ้นไว้กับสิ่งใด ความสุขสำเร็จของเราไม่ได้เกิดมีขึ้นเพราะได้ครอบครองสิ่งเหล่านั้นตามใจปารถนา แต่อยู่ที่การไม่เอาชีวิต เอาลมหายใจ เอาความสุขทั้งชีวิตของตนไปผูกขึ้นไว้กับมัน
- หายใจออก กำหนดจิตนึกถึงความพอแล้ว ถอนใจออกจากความใคร่ปารถนา คือ ไฟราคะ ทั้งปวง ไม่เอาลมหายใจเอาความสุขสำเร็จของตนไปผูกขึ้นไว้กับสิ่งใด สุขที่ได้ครอบครองในสิ่งภายนอกนั้นมันไม่ยั่งยืนทนอยู่ได้นาน มันสุขแค่วูบสาบๆประเดี๋ยวประด๋าวเท่านั้น แล้วก็หมดไป ดับไป อยู่ได้นานสุดแค่หมกดลมหายใจเรานี้เท่านั้น แต่สุขจากความอิ่มเต็มกำลังใจจากการไม่เอาความสุขสำเร็จของตนไปผูกขึ้นไว้กับสิ่งใดนี้ จะติดตามเราสืบไป เมื่อหวนระลึกถึงเมื่อใดก็อิ่มสุขอยู่เต็มใจในกาลทุกเมื่อ มันอิ่มเอมเต็มกำลังใจ ไม่หน่วงตรึงจิต
อบรมจิตด้วยการให้ทานตนเอง จนเข้าถึงจาคะ
- หายใจเข้า ทำไว้ในใจถึงความไม่เอาใจเข้ายึดครองไปผูกความสุขสำเร็จของตนขึ้นไว้กับสิ่งใด มีใจคลายออก ปล่อยออก
- หายใจออก ทำไว้ในใจถึงความไม่เอาใจเข้ายึดครองไปผูกความสุขสำเร็จของตนขึ้นไว้กับสิ่งใด มีใจคลายออก ปล่อยออก
- หายใจเข้า ทำไว้ในใจถึงความพอเพียงแล้ว มีใจผ่อนคลาย ปล่อยออก
- หายใจออก ทำไว้ในใจถึงความพอเพียงแล้ว มีใจผ่อนคลาย ปล่อยออก
- หายใจเข้า ทำไว้ในใจถึงความอิ่มใจปราศจากสิ่งใดมาหน่วงตรึงจิต ถึงความสละคืนโลภ กาม นันทิ ราคะทั้งปวง
- หายใจออก ทำไว้ในใจถึงความอิ่มใจปราศจากสิ่งใดมาหน่วงตรึงจิต ถึงความสละคืนโลภ กาม นันทิ ราคะทั้งปวง
- หายใจเข้า กำหนดจิตเข้ามารู้ในภายในไม่ส่งออกนอก ตามลมหายใจเข้าผ่าน ปลายจมูก โพรงจมูก หว่างคิ้ว โพรงกระโหลก คอ หน้าอก ท้อง(เหนือสะดือ สะดือ ใต้สะดือรู้ลมได้ถึงจุดไหนเอาถึงจุดนั้น) (เป็นการเอากำลังให้จิต)
- หายใจออก กำหนดจิตเข้ามารู้ในภายในไม่ส่งออกนอก ตามลมหายใจเข้าผ่าน ปลายจมูก โพรงจมูก หว่างคิ้ว โพรงกระโหลก คอ หน้าอก ท้อง(เหนือสะดือ สะดือ ใต้สะดือรู้ลมได้ถึงจุดไหนเอาถึงจุดนั้น) (เป็นการเอากำลังให้จิต)
- หายใจเข้า กำหนดจิตเข้ามารวมไว้ในภายใน นึกถึงความเบา ว่าง โล่ง อิ่มใจ เป็นสุข มีกำลังใจดี ไม่กวัดแกว่งสัดส่าย(เอากำลังให้จิต)
- หายใจออก กำหนดจิตเข้ามารวมไว้ในภายใน นึกถึงความเบา ว่าง โล่ง อิ่มใจ เป็นสุข มีกำลังใจดี ไม่กวัดแกว่งสัดส่าย(เอากำลังให้จิต)
- หายใจเข้า รู้ว่าหายใจเข้า
- หายใจออก รู้ว่าหายใจออก
- ตามรู้ลมหายใจเข้า - ลมหายใจออก
2. เมตตาตนเองโดยศีล คือ การเว้นจากการกระทำที่เป็นการเบียดเบียนตนเองและผู้อื่น การตั้งกายใจตนไว้ในศีล คือ การมีกายใจเป็นปกติ มีความสุจริตทั้งกาย วาจา ใจ พ้นจาก ไฟ คือ โทสะ ที่แผดเผากายใจตน
..เพราะโทสะ ปฏิฆะ อรดี ความขุ่นข้องขัดเคืองใจ ยินร้าย โกรธ เกลียด ชัง กลัว ระแวง กังวลนั้น ทำให้ใจเราเร่าร้อน ใจกระวนกระวาย ใจระส่ำสั่นไหวขุ่นขัดผลักไสไม่ต้องการพบเจอ ดั่งไฟสุมอยู่ในใจให้เร่าร้อน อยู่เป็นปกติสุขเย็นใจไม่ได้
..ดังนี้การแผ่ศีลให้แก่ตนเอง จึงเป็นการแผ่เอาความเย็นใจ สบาย ผ่อนคลาย ไม่เร่าร้อน ไม่หวาดกลัว ไม่หวาดระแวง ทำให้กาย วาจา ใจของตนไม่มีเวร ไม่มีพิษ ไม่มีภัย ปราศจากความริษยา ยินร้าย ขุ่นข้องขัดเคืองใจให้แก่ตนเอง
..นั่นเพราะ โทสะความขุ่นใจ โกรธ อรดีความขุ่นข้องขัดเคืองใจ ยินร้าย ปฏิฆะโกรธ เกลียด ชัง กลัว ระแวง กังวลนั้น คือ เวร และ ภัยอันตราย ต่อกายใจของเรานั่นเอง มันทำให้เราเร่าร้อนทนอยู่ได้ยาก อยู่เป็นปกติไม่ได้
..เราแผ่ศีลให้แก่ตนเองได้โดย การสละคืนโทสะ ทำให้มีความเย็นใจ ไม่เร่าร้อน ไม่กังวล เพราะไม่ระแวง ไม่หวาดกลัว ไม่ขุ่นข้องขัดเคืงใจ ไม่ยินร้าย เพราะตนประพฤติชอบดีแล้ว
- ตั้งจิตในปัจจุบันขณะนั้นๆว่า ..ปัจจุบันนี้เราไม่ได้ละเมิดศีล มีศีล ๕ เป็นต้น ปัจจุบันนี้เราเว้นซึ่งความเบียดเบียนแล้ว แม้ภายนอก และภายในกายใจตน มันเป็นสุขเย็นใจ เบาสบายไม่เร่าร้อน ลมหายใจตั้งไว้ในความเย็นใจ ผ่อนคลาย
พิจารณาปรับจิต
- หายใจเข้า กำหนดจิตนึกถึงถึงความมีศีลของตนในปัจจุบัน ความละเว้นอกุศลกรรมทำความเย็นใจให้เกิดขึ้นในจิต (อาการของผู้มีศีล ใจจะโล่ง สงบ เบาใจ สบายกายใจ ไม่มีความขุ่นช้องชัดเคืองใจ ไม่สะดุ้งหวาดกลัว ไม่ริษยา ไม่ถือกอดจับความขุ่นข้อง มีใจผ่อนคลายปล่อยออก ให้จับเอาอาการนี้)
- หายใจออก กำหนดจิตนึกถึงถึงความมีศีลของตนในปัจจุบัน ความละเว้นอกุศลกรรมทำความเย็นใจให้เกิดขึ้นในจิต (อาการของผู้มีศีล ใจจะโล่ง สงบ เบาใจ สบายกายใจ ไม่มีความขุ่นช้องชัดเคืองใจ ไม่สะดุ้งหวาดกลัว ไม่ริษยา ไม่ถือกอดจับความขุ่นข้อง มีใจผ่อนคลายปล่อยออก ให้จับเอาอาการนี้) ความละเว้นอกุศลกรรมทำความเย็นใจให้เกิดขึ้นในจิต
อบรมจิตด้วยการแผ่ศีลตนเอง จนเข้าถึงอุปสมะ
- หายใจเข้า กำหนดหมายทำไว้ในใจถึง..ใจเราถูกปลดปล่อยจากความเศร้าหมอง หน่วงตรึงจิต ด้วยศีล
- หายใจออก กำหนดหมายทำไว้ในใจถึง..ใจเราถูกปลดปล่อยจากความเศร้าหมอง หน่วงตรึงจิต ด้วยศีล
- หายใจเข้า ทำไว้ในใจถึงการละเว้น(ถอน ละ เว้น ตัด สละคืน) จากความรู้สึกนึกคิดที่เป็นไฟแห่งโทสะ ปฏิฆะ อรดี ริษยาทั้งปวง (อินทรีย์สังวรณ์)
- หายใจออก ทำไว้ในใจถึงการละเว้น(ถอน ละ เว้น ตัด สละคืน) จากความรู้สึกนึกคิดที่เป็นไฟแห่งโทสะ ปฏิฆะ อรดี ริษยาทั้งปวง (อินทรีย์สังวรณ์)
- หายใจเข้า ทำไว้ในใจถึงความว่าง ความสงบ ความไม่มี รวมไว้ในภายใน ละเจตนาที่เป็นไปเพื่อความขุ่นข้องขัดเคืองใจ ยินร้าย ริษยา ระทม เดือดดาน ปะทุ ผูกโกระ(เวร) ผูกแค้น(พยาบาท)
- หายใจออก ทำไว้ในใจถึงความว่าง ความสงบ ความไม่มี รวมไว้ในภายใน ละเจตนาที่เป็นไปเพื่อความขุ่นข้องขัดเคืองใจ ยินร้าย ริษยา ระทม เดือดดาน ปะทุ ผูกโกระ(เวร) ผูกแค้น(พยาบาท)
- หายใจเข้า ทำไว้ในใจถึงความสุจริต ๓ โดยชอบ มีใจสละคืนอุปธิทั้งปวง(ล้างกิเลสออกจากใจ ล้างกิเลสออกจากขันธ์) ถึงความเบา ว่าง โล่ง เย็นใจ แจ่มใส ปราโมทย์
- หายใจออก ทำไว้ในใจถึงความสุจริต ๓ โดยชอบ มีใจสละคืนอุปธิทั้งปวง(ล้างกิเลสออกจากใจ ล้างกิเลสออกจากขันธ์) ถึงความเบา ว่าง โล่ง เย็นใจ แจ่มใส ปราโมทย์
- หายใจเข้า ทำไว้ในใจถึงความเบา ว่าง โล่ง เย็นใจ
- หายใจออก ทำไว้ในใจถึงความเบา สบายกายใจ ผ่อนคลายๆ
- หายใจเข้า รู้ว่าหายใจเข้า
- หายใจออก รู้ว่าหายใจออก
- ตามรู้ลมหายใจเข้า - ลมหายใจออก
3. เมตตาตนเองโดยการภาวนาอบรมจิตให้ปลดเปลื้องจากกิเลส ฝึกให้จิตมีกำลังตั้งอยู่ได้ด้วยตัวของมันเอง โดยไม่เอนไหวไหลตามธัมมารมณ์ความรู้สึกทั้งปวง จิตเข้าถึุงพุทโธ มีจิตเป็นพุทโธ นี่คือเมตตาอันเนื่องด้วยใจ มีลทมหายใจเป็นฐาน มีอาโลกะสัญญาเป็นรูปอารมณ์ เป็นที่ตั้งแห่งกสิน เป็นอิทธิบาท ๔
ประการที่ ๑ กำหนดจิตรวบถอนเอาสมมติธัมมารมณ์แห่งกิเลสทั้งปวงที่รายล้อมจิตอยู่ ทิ้งออกจากจิต ตามลมหายใจเข้า-ออก
(เหมาะกับการดำเนินชีวิตในปัจจุบันตามปกติ หรืออยู่ในสถานการณ์ที่กำลังทำกิจการงานต่างๆอยู่)
- หายใจเข้า(รวบดึง ถอน สมมติกิเลส สมมติอารมณ์ สมมติความรู้สึกนึกคิดนั้นๆที่รายล้อมจิตอยู่ รวบดึงออกจากจิตตามลมหายใจเข้า)
- หายใจออก(พัด ซัด เหวี่ยง ผลักออกไปจากใจตนตามลมหายใจออก)
- ทำกายใจให้ผ่อนคลายหายใจเข้า
- ทำกายใจให้เบาโล่งสบายหายใจออก
- หายใจเข้า ระลึก พุท
- หายใจออก ระลึก โธ
- หายใจเข้า กำหนดจิตถึงพุทโธ คือถึงความเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานพ้นแล้วจากสมมติกิเลสของปลอม หายใจเข้า
- หายใจออก กำหนดจิตถึงพุทโธ คือถึงความเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานพ้นแล้วจากสมมติกิเลสของปลอม หายใจออก
- หายใจเข้า มีจิตเป็นพุทโธ ถึงความเป็นจิตเดิมแท้อันสว่างไสว เบา สบาย เย็นใจ หายใจเข้า
- หายใจออก มีจิตเป็นพุทโธ ถึงความเป็นจิตเดิมแท้อันสว่างไสว เบา สบาย เย็นใจ หายใจออก
ประการที่ ๒ กำหนดจิตถอนออกจากสมมติธัมมารมณ์แห่งกิเลสทั้งปวงที่รายล้อมจิตอยู่ ตามลมหายใจเข้า-ออก
(เหมาะใช้งานในขณะที่กำลังฝึกสมาธิแล้วมีจิตฟุ้งซ่าน หรืออกุศลนิวรณ์แทรกเข้าสมาธิ)
- หายใจเข้า เอาใจ คือ ดวงจิตตัวรู้ของเราลอยขึ้นออกจากสมมติธัมมารมณ์แห่งกิเลส อารมณ์ความรู้สึกนึกคิดทั้งปวงที่รายล้อมจิตอยู่ ลอยขึ้นตามหายใจเข้า
- หายใจออก เอาใจ คือ ดวงจิตตัวรู้ของเราที่ลอยขึ้นมาตั้งมั่นไว้ แล้วเอาลมหายใจออกพัดเอาสมมติธัมมารมณ์แห่งกิเลส อารมณ์ความรู้สึกนึกคิดทั้งปวงที่รายล้อมจิตอยู่นั้นซัดปลิวออกไปให้หมด
- หายใจเข้า กำหนดจิตลอยตั้งมั่นอยู่โดดๆในที่โล่ง ว่าง
- หายใจออก กำหนดจิตลอยตั้งมั่นอยู่โดดๆในที่โล่ง ว่าง
- หายใจเข้า ระลึกในพุทโธ เชิญองค์พระพุทธเจ้าเข้ามาสถิตย์อยู่ในใจ
- หายใจออก ระลึกในพุทโธ เชิญองค์พระพุทธเจ้าเข้ามาสถิตย์อยู่ในใจ
- หายใจเข้า เอาจิตเดินตามลม ตามรู้การเคลื่อนตัวลอยไปของลมหายใจเข้า ตามได้จนสุดจุดพักลมได้จนสุด บางท่านถึงจุดเหนือสะดือที่ท้องพองขึ้น บางท่านถึงจุดรวมที่สะดือ หรือบางท่านลึกลงใต้สะดือจุดที่ท้องพองด่านล่าง
(จุดต่างๆล้วนเป็นจุดพักลม คือ จุดที่ใช้กำหนดตั้งลมหายใจเพื่อเข้าฌาณสมาธิทั้งสิ้น)