กรรม คือ เจตนาที่กระทำบุญและบาป ได้แก่ กุศลกรรม และ อกุศลกรรม ผลของบุญและบาปจะให้ผลในลักษณะ ๔ ประการ เรียกว่า หน้าที่ของกรรม คือ
๑. ชนกกรรม คือ กรรมนำเกิด
๒. อุปถัมภกกรรม คือ กรรมอุดหนุน
๓. อุปปีฬกกรรม คือ กรรมเบียดเบียน
๔. อุปฆาตกกรรม คือ กรรมตัดรอน
ชนกกรรม คือ กรรมที่สัตว์ทั้งหลายได้กระทำไว้แล้ว ทั้งฝ่ายบุญและฝ่ายบาป ทำหน้าที่ เป็นชนก-กรรม ทำให้วิบากและกัมมชรูป (รูปที่เกิดจากกรรม) และกัมมปัจจยอุตุชรูป (รูปที่เกิดจากกรรมมีอุตุเป็นปัจจัย) เกิดขึ้นได้ทั้ง ๒ กาล คือ ปฏิสนธิกาล และ ปวัตติกาล
อุปถัมภกกรรม คือ กรรมที่มีหน้าที่อุดหนุนการให้ผลของกรรมอื่นๆ และการสืบต่อของขันธ์ที่เกิดจากกรรมอื่น ๆ เหมือนบิดามารดาที่คอยอุปถัมภ์เลี้ยงดูบุตร
อุปปีฬกกรรม เป็นกรรมที่มีหน้าที่เบียดเบียนชนกกรรมอื่นที่มีสภาพตรงข้ามกับตน คือ บุญเบียดเบียนบาป , บาปเบียดเบียนบุญ ทุกข์เบียดเบียนสุข , สุขเบียดเบียนทุกข์ เช่น ขณะที่มีสุขอยู่ มีสุขภาพแข็งแรงดี ต่อมาเกิดโรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียน หรือคนบางคนต้องทำมาหาเลี้ยงชีพด้วยความยากลำบาก ต่อมาถูกล็อตเตอรี่ ทำให้ความเป็นอยู่ดีขึ้น
อุปฆาตกกรรม เป็นกรรมชนิดที่ตัดกรรมอื่น ๆ อย่างเด็ดขาด เมื่อตัดกรรมใดแล้ว กรรมนั้นไม่สามารถส่งผลให้เกิดขึ้นได้เลยตลอดไป และถ้าตัดวิบากของกรรมนั้นแล้ว ย่อมหมายถึงร่างกาย หรืออวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งของผู้นั้น ย่อมเสียไปตลอดชีวิต หรือไม่ก็ตัดชีวิตของผู้นั้นให้สิ้นไปเลย
******************
ชนกกรรม นำผลส่ง ตรงกำเนิด รูปนามเกิด ครบสมบัติ ไม่ขัดสน
อุปถัมภกกรรม บันดาลดล อุดหนุนผล ให้ดำรง คงอยู่นาน
อุปปีฬ์์ บีฑา มารานรอน ให้ผลผ่อน อ่อนลง น่าสงสาร
อุปฆาต เข้าขัด ตัดรูปกาล ตราบนิพพาน จึงสิ้นสุด หยุดผลกรรม