การให้ความยอมรับให้คบหากันเป็นแฟนกันของผู้ปกครอง คือ พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย ลุง ป้า น้า อา บุพการี บุคคลในครอบครัว หรือ ผู้ที่ให้การอุปการะอยู่ ถือเป็นการอนุญาตให้หญิงหรือชายผู้นั้นอยู่ในความครอบครองของบุคคลอื่นโดยเว้นขาดจากความถือครองในตน
ส่วนโสเภนี ก็มีอยู่ 2 ประเภท คือเต็มใจยินยอมของเจ้าตัว บ้างทางบ้านก็รู้ บ้างทางบ้านไม่รู้ ซึ่งตัวเขานั้นไม่ได้อยู่ในการอุปการะของพ่อแม่แล้ว และ อีกประการคือ การถูกจับถูกหลอกมาค้าประเวณี ซึ่งเหตุนี้ก็พอจะดูได้ว่าสิ่งไหนดีไม่ได้ผิดหรือถูก จะมีในชาดก 500 ชาติ ซึ่งผมจำไม่ค่อยได้แล้ว นานมาก รู้สึกเกือบ 10 ปีแล้วที่ได้อ่าน แล้วเท่าที่ผมพอจะจำไดก้จับประเด็นหลักได้ คือ.. เรื่องที่พระโพธิสัตว์เป็นอำมาตย์ แล้วพระราชามีเมียเป็นราชินีสวยมากๆๆๆๆงดงามฟ้าเลยเป็นที่รักยิ่งของพระราชา แล้วราชินีไปได้กับทหารอีกคนหนึ่ง ราชินีบอกรักทหารมาก พระโพธิสัตว์ท่านบอกแก่พระราชายให้อนุญาตให้องค์ราชินิกับทหารไปอยู่ด้วยกัน 3 เดือน พออยู่ครบ 3 เดือน ราชินีไม่ยอมกลับแล้วซ้ำยังจะหนีไปกับทหารอีก พระโพธิสัตว์จึงบอกแก่พระราชาว่าเมื่ออนุญาตให้เขาอยู่ด้วยกันก็เท่ากับเว้นขาดจากความถือครองแล้ว ประมาณนี้แหละครับ ซึ่งพระราชาก็ทรงเสียพระทัยมาก จากนั้นพระโพธิสัตว์ก็แสดงธรรมให้พระราชาถึงความสละให้ และ สละคืนความหวงแหนด้วยราคะ โทสะ โมหะ นั้นเสียได้
ลองหาดูครับ และที่จริงท่านเลิศน่าจะมีคำตอบโดยในอภิธรรมอยู่แล้วแต่อยากจะถามแค่เพื่อให้ผู้ที่เข้าเวบธรรมมาตอบว่าจะเข้าใจตามจริงสักเพียงใด รู้ศีลดีแค่ไหน รู้พระวินัยหรือไม่ ประมาณนี้เท่านั้น และ อีกประการในแง่กุศลคือให้ผู้ปฏิบัติได้ทวนดูศีลในตนดูข้อห้ามข้อละเว้นที่ถูกต้องตามจริง ขออนุโมทนาสาธุกับท่านเลิศด้วยครับ