สนทนาธรรม ฟังธรรม อ่านธรรมะ บทความธรรมะ หลักธรรมคำสอน กฎแห่งกรรม dhamma

ธรรมะออนไลน์ => บทความธรรมะ => ข้อความที่เริ่มโดย: วิรัติ สีหะนาม ที่ มิถุนายน 29, 2012, 05:17:39 PM



หัวข้อ: นิพพานสำหรับผม
เริ่มหัวข้อโดย: วิรัติ สีหะนาม ที่ มิถุนายน 29, 2012, 05:17:39 PM
                                            นิพพาน
จะมีซักกี่คนทีี่จะรู้ซึ้งถึง นิพพานที่แท้จริงอย่างแจ่มแจ้งถึงดินแดนแห่งโลกุตระนั้น
แล้วนำมาบอกกล่าวอย่างถูกต้อง มิผิดเพี้ยน ซึ่งถ้าหากหลงทางแล้วก็จะต้องกลับ
มาเวียนว่ายตายเกิดมิรู้จักจบสิ้น จึงเรียกกันว่าวัฎฏะสงสารคือหมุนวนอยู่อย่างนั้น
 สิ่งที่นำสัพพสัตว์ทั้งหลายมาเกิดมาจุตินั้นก็คือ"ดวงจิตที่มีวิบากกรรม"
วิบากกรรมนั้นมีทั้งชั่วและดีปนกันอยู่ วิบากกรรมเปรียบเสมือนเชือกที่มัดคอโค
แล้วจูงโคนั้นไปในที่ต่างๆ มิอาจจะขัดขืนได้
วิบากกรรมนั้นมาจากไหนเล่า ก็มาจากกิเลศ-ตัณหา กิเลศ-ตัณหา
นั้นเปรียบเสมือนเชือกที่มัดดวงจิตแล้วจูงให้มาเกิดมาจุติในที่ต่างๆ ตามวิบากแห่งกรรมนั้นๆ
หรือตามลำดับแห่งวิบากกรรมที่ได้กระทำไว้ ซึ่งมีมากมายเหลือคณานับ
  และเมื่อดวงจิตนั้นๆมาเกิดแล้วในร่างกาย ที่มีเนื้อหนังเอ็นกระดูก
เจ้ากิเลศตัณหามันก็ตามมาด้วย มันก็เริ่มสร้างฐานที่มั่นในร่างกายนี้เพื่อสะสม
อาวุธเพื่อจะไปในภพหน้าทันที หรือที่เราเรียกว่า "ใจ" นั่นเอง เราอาจพูดได้ว่า
ใจ ของเรานั้น มันก็คือพญามาร ที่มีลูกน้อง ก็คือ หูตา จมูก ลิ้น กายใจ
เป็นตัวคอยส่งเสริม ส่งเสบียง ส่งกำลัง ให้กับมารก็คือใจของเรานี่เอง
เมื่อหูตาจมูกลิ้นกายใจ ได้สัมผัส ลิ้มรส แล้ว ก็ส่งความรู้สึกนั้นไปที่ใจ
ไปให้มาร ไปบำรุงมาร ให้กำเริบ ลุ่มหลง ร้อนรุ่ม ซึ่งเป็นสิ่งที่ใจนั้นต้องการอยู่แล้ว
ใจ นั้น จะอยู่ไม่ได้เลย ถ้าไม่มีร่างกาย ให้อาศัย กิน ตื่่นและหลับนอน เมื่อสิ้นร่างกาย
ใจ นั้นก็จะตายไปด้วย แต่สิ่งที่ใจนั้นสะสมมา กลับกลายมาเป็นเสบียง
ให้กับดวงจิต พาดวงจิต ไปพบวิบากกรรม ซึ่งเป็นผลมาจากกิเลศ ตัณหา ซึ่งใจ
นั้นได้เตรียมไว้ก่อนแล้วตอนที่มีชีวิตอยู่
อันดวงจิต ของเราทุกคนนั้น ผ่องใสมาแต่เดิม เพียงแต่ถูกเจ้ากิเลศตัณหา
มาห่อหุ้มไว้ แล้วนำพาไปเกิด ไปจุติ ในที่ต่างๆ เช่น นรก สวรรค์ พรหมโลก
เมืองมนุษย์ เมืองบาดาล หรือเมืองลับแล
ดวงจิตที่มาเกิดในเนื้อหนังเอ็นกระดูก จะมีใจเป็นที่ตั้งหรือจะเรียกว่ามีมารเป็นที่ตั้งก็ได้
หากไม่มีร่างกายแล้ว ใจนั้นก็ไม่มี เพราะใจนั้นต้องการสัมผัสและรับรู้สิ่งต่างๆ
ร่างกายนั้นเป็นเครื่องมือของใจหรือของมาร เมื่อรับรู้แล้วก็จะส่งมาที่ใจ
ทำไมเทวดาจึงอยากจะมาเกิดเป็นมนุษย์ ก็เพราะว่าจะได้ มีใจ จะได้เจอกับ
พญามารได้สัมผัสมารของจริงตัวจริง เพื่อจะกำจัดทิ้งซะ เพื่อให้ถึงซึ่งโลกุตระนั้น
การเกิดเป็นมนุษย์จึงเป็นสิ่งที่วิเศษที่สุดแล้ว หากเกิดเป็นมนุษย์แล้วไม่ได้ทำให้ถึงซึ่งโลกุตระแล้ว
ก็นับว่าเสียโอกาส อย่างน่าเสียดาย
คนที่จะไป นิพพาน ก็ต้องรู้แจ้งถึงนิพพาน อย่างถ่องแท้ มิผิดเพี้ยน
อุปมาเหมือนคนขับรถ ก็ต้องรู้เส้นทางและจุดหมายที่จะไป จึงจะไปถึงจุดหมาย ได้รวดเร็ว และปลอดภัย
หากไปโดย มิได้ศึกษาเส้นทางหรือมิรู้เส้นทางเลย
ก็ต้องหลง แวะถาม ถ้าเค้าบอกผิดก็หลงทางไปกันใหญ่ เสียเวลา ไปถึงจุดหมาย
ไม่ทันเวลา หรืออาจจะไปไม่ถึงจุดหมายด้วยซ้ำไป เรียกว่าเสียนาทีทองไป
มนุษย์เราทุกคนเกิดมา มีใจเป็นที่ตั้ง มีลูกน้องคือการรับรู้สัมผัสแล้วส่งกลับไปที่ใจ
เ้พื่อสะสมเป็นวิบากกรรมเพื่อเป็นเสบียงนำพาดวงจิตไปในภพหน้าหากสิ้นร่างกายนี้ไปแล้ว
การรับรู้สัมผัส แล้วส่งกลับมาที่ใจนั้นส่งผลให้เกิดสองสิ่งคือ ทุกข์และสุข สองสิ่งนี้รวมกันแยกกันไม่ออก
หากแยกทุกข์และสุขได้ เราคงไม่ต้องหาหนทางไปนิพพาน แต่เราแยกไม่ได้
ก็ต้องหาหนทางอื่น เพื่อให้พ้นจากมัน อันความสุขนั้นมนุษย์ ต้องไขว่คว้าหามา
ส่วนความทุกข์ไม่ต้องหามันมีของมันอยู่แล้วเดี๋ยวเมื่อถึงเวลามันก็มาของมันเอง
เรื่องของทุกข์และสุขนั้น ใจเป็นผู้ตัดสินเมื่อเรารู้อย่างนี้แล้ว เราจะให้ใจที่เราเรียกว่าใจมาร
มาตัดสินหรือมาสำเร็จโทษเราหรือ เมื่อใจนั้น ได้ส่งลูกน้อง ไปรับรู้สัมผัส ทุกข์และสุข
ก่อนที่ลูกน้องของใจจะส่งคืนทุกข์และสุขนั้นๆให้กับใจ เราก็ดับมันก่อนจะถึงใจ ใจมันก็งง
เราดับด้วยอะไร ก็ดับด้วยสติปัญญาของดวงจิตที่ผ่องใสตอนนี้จิตต้องต่อสู้บ้างแล้วนะอย่ายอมใจและลูกน้องของมัน
เพราะเรายอมมันมานานแล้ว เมื่อทำอย่างนี้เรื่อยๆ ใจมันก็ไม่รับทุกข์ไม่รับสุข ลูกน้องของใจคือหูตาจมูกลิ้นกายใจ
ก็ถูกปลดปล่อยจากใจ ในที่สุดใจนั้นไม่มีลูกน้องคอยส่งเสบียงไม่นานเสบียงที่จะไปสู่ภพหน้าก็หมดลง
ดวงจิตที่เคยมีเมฆหมอกมาบดบังก็พลอยสว่างไสว สติปัญญาละเอียดของแท้ของธรรมชาติก็เกิดขึ้น
ไม่มีทุกข์ร้อนใดๆ ถึงตอนนี้ เรียกว่า นิพพานดิบหรือนิพพาน ขณะที่ยังมีชีวิตอยู่
เมื่อใครทำถึงขั้นนี้แล้วก็ไม่ยากที่จะไปต่อเมื่อยังมีร่างกายย่อมมีดวงจิตอยู่แต่เป็นดวงจิตดั่งเดิมที่ผ่องใส
ไม่มีกิเลศตัณหาหลงอยู่เลยพร้อมที่จะตีตั๋วที่จะไปนิพพานซึ่ง นิพพานนั้นไม่มีอะไรทั้งสิ้นจะเข้าไปได้
เป็นที่ซึ่งไม่มีจิต ไม่มีกิเลศ ตัณหา ไปอาศัย หากท่านใดถึงขั้นนี้แล้วแต่ก่อนตายคิดว่าจิตนั้นต้องไปอาศัยอยู่ในนิพพาน
น่าเสียดายมาก ที่จิตนั้นจะต้องไปเกิดในอรูปพรหมชั้นสูง(นิพพานพรหม)
ที่มีอายุยืนยาวนับไม่ได้เลยแล้วในที่สุดก็ต้องมาเกิดอีก การจะเข้านิพพานแม้แต่จิตที่หมดจดผ่องใสดั่งเดิมแท้
ก็เข้าไปไม่ได้ จงใช้สติปัญญาที่ละเอียดอ่อนนั้นแห่งจิต ดับจิตเสียมิมีสิ่งใดเป็นที่มามิมีสิ่งใดเป็นที่ไป
ไม่มีใครอยู่ไม่มีใครตาย เมื่อจิตดับ สติปัญญาก็นิ่งคงอยู่อย่างนั้น
ประตูนิพพานก็เปิดออกบรมสุขอยู่อย่างนั้น จบสิ้นการเวียนว่ายตายเกิด...
...........................................
ผมนั้นไม่ได้อวดเก่งหรือให้ใครมาเชื่อหรือนับถืออะไร ผมเพียงแต่จะหาหนทาง
หลุดพ้นไว้ก่อนล่วงหน้า ถึงตอนนี้จะยังไม่พร้อม แต่เมื่อพร้อมแล้วก็จะได้ไม่ต้องหลง
จะได้ไม่เสียเวลา เสียโอกาส เสียนาทีทอง อีกต่อไป....................


หัวข้อ: นิพพานสำหรับผม
เริ่มหัวข้อโดย: ประวิต ที่ มิถุนายน 30, 2012, 08:36:10 PM
ช่างคิดได้ละเอียดอ่อนจริงๆ  ข้าน้อยยอมรับ

บทความและไฟล์ภาพ ในเว็บไซต์แห่งนี้อาจนำมาจากเว็บไซต์อื่นๆ ที่ทีมงานคิดว่ามีประโชยน์ต่อผู้อ่าน โดยให้ผู้อ่านเกิดควมบันเทิง และให้ความรู้ โดยที่เราจะให้เครดิตทุกครั้งที่นำมา หากไฟล์ภาพหรือบทความใด ที่เจ้าของลิขสิทธิ์ไม่ต้องการให้นำมาแสดง โปรดแจ้งมาที่ tumcomputer@hotmail.com ทางทีมงานจะได้นำบทความนั้นออกทันที ขอบคุณครับ


เว็บนี้จัดทำโดย นายสุรัตน์ ศรลัมภ์ และครอบครัว อุทิศบุญให้เจ้ากรรมนายเวร และผู้มีพระคุณ

HTML Hit Counters