หัวข้อ: บาปหรือไม่? เริ่มหัวข้อโดย: มาม่าซัง ที่ พฤษภาคม 05, 2015, 06:19:46 PM ดิฉันมีเรื่องอยากจะถามหน่อยค่ะ ดิฉันเคยอ่านในบทความหนึ่งที่ว่าใครโกรธหรือไม่ชอบเราคือกรรมของเขา แต่ถ้าเราให้อภัยเขาคือบุญของเรา เรื่องมีอยู่ว่าเป็นเรื่องสมมุติที่ดิฉันสมมุติขึ้นมาน่ะค่ะ
มีชายคนนึงเพิ่งกลับมาจากทำงาน หน้าตาเขาดูอ่อนแรง เนื้อตัวสกปรกมอมแมม ภายนอกมีแต่กลิ่นเหงื่อ เขาได้เดินขึ้นรถสองแถวที่มีคนที่มีจำนวนคนจำนวนไม่น้อย พอชายคนนี้ขึ้นรถแล้วมานั่ง หญิงสาวคนนึงได้มองและทำท่ารังเกียจชายคนนี้จึงขเยิบหนีไป ชายคนนี้ทำใจเป็นกุศลไม่สนใจหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้า ดิฉันมีข้อสงสัยในใจว่าถ้าเรื่องราวเป็นแบบนี้ดิฉันคิดว่าหญิงสาวผู้นั้นในความคิดของเขาคงเป็นอกุศลแน่แท้ แต่ผู้ชายคนนี้ที่ไม่ได้ตั้งใจให้เนื้อตัวเขาเป็นแบบนี้และเขาก็คิดกุศลก็เป็นบุญ เพราะเขาหลีกเลี่ยงไม่ได้ แบบนี้ดิฉันอยากทราบว่าดิฉันคิดถูกไหมค่ะ หัวข้อ: บาปหรือไม่? เริ่มหัวข้อโดย: ไหลเย็น ที่ พฤษภาคม 05, 2015, 09:32:11 PM ชายคนนั้นไม่ควรขึ้นรถที่แน่น เพราะรู้อยู่ว่ารบกวนคนอื่น
หัวข้อ: บาปหรือไม่? เริ่มหัวข้อโดย: เกียรติคุณ ที่ พฤษภาคม 07, 2015, 12:43:44 AM สำหรับปุถุชนอย่างเราๆนี้ เจตนา เป็นใหญ่ เป็นมโนกรรม กุศลจิต กุศลกรรม อกุศลจิต อกุศลกรรม อยู่ที่เจตนาเป็นหลัก พระพุทธเจ้าจึงตรัสสอนว่า เจตนาเป็นกรรม บุญนี้ท่านว่าก็เป็นบารมีแห่งกุศล มีความสงบสุขร่มเย็นกายใจไม่เร่าร้อนกายใจ ไปที่ไหนก็สบาย ไม่มีจิตฟุ้งซ่าน หวาดระแวงขุ่นขัดเคืองใจ ไม่เร่าร้อน เพราะไม่คิดเบียดเบียนใคร จึงไม่มีใครมาเบียดเบียนเขา ส่วนทานคือการให้ การสละให้ ปารถนาให้เขาได้รับสุขจากสิ่งที่เราให้ ทานมี ณ ที่ใด ย่อมนำความอิ่มเอมใจมาให้ผู้นั้นเสมอ บาปนี้ท่านว่าเป็นบารมีแห่งอกุศล มีความเร่าร้อน ไม่มีความสงบสุข หวาดระแวง แสวงหาใคร่ได้ที่จะเสพย์ไม่รู้พอ มีแต่ความเกรี้ยวกราดรุ่มร้อน ขัดเคืองใจอยู่เป็นนิตย์ หาความสงบสุขไม่ได้ - ถ้าผู้หญิงเขาเหม็นเขาจึงถอยห่างออกมาเพราะไม่อาจสู้กลิ่นได้ แต่ไม่มีจิตไปเห็นว่าผู้ชายคนนั้นทุกเรศน่าเกลียดน่าขยะแขยงไม่ควรที่ตนเข้าใกล้หรือมีทิฐิข่มเหงผู้ชายคนนั้น ไม่ยกตนข่มท่าน ผู้หญิงเขาก็ไม่มีอกุศลจิตนะ หน้าตาท่าทางเขาอาจจะเป็นอย่างนั้นมาตั้งแต่เกิดก็ได้ เหมือนอย่างเราๆไปในที่ๆมีกลิ่นเหม็นแล้วแสบจมูกหายใจลำบากก็ต้องถอยออกมาเหมือนกัน - ถ้าผู้ชายคนนั้น เรารู้ดีว่าเนื้อตัวเขามอมแมมกลื่นตัวแรง แต่ไม่ได้คิดที่จะมาเบียดเบียนคนอื่นแต่ทุกคนก็ต้องเลิกงานกลับบ้านด้วยกันทั้งนั้น เมื่อเขาเป็นอย่างนี้และรู้ตัวอยู่ เขามีความเข้าใจในสภาวะตนจึงไม่มีจิตคิดจะขัดเคืองใจต่ออาการที่ผู้หญิงแสดงออกเพราะเข้าใจที่ผู้หญิงคนนั้นทำ แล้วพึงวางใจไว้กลางๆ เขาก็ไม่มีอกุศลจิตตั้งแต่เริ่มแรกขึ้นรถแล้ว - ถ้าผู้หญิงเขาเห็นผู้ชายด้วยจิตว่า บุคคลผู้นี้เน่าเหม็น น่าขยะแขยง น่าเกลียด จะขึ้นรถมาทำให้ให้ตนเองลำบาก อันนี้ก็เป็นอกุศลจิตเขา เพราะเขาไม่มีจิตเผื่อแผ่ผู้อื่น ความขัดใจจึงเกิดมีขึ้น จึงเกิดอาการกระทำทางกายที่ดูรังเกลียดผ้อื่นขึ้นมา - ถ้าผู้ชายเจตนาจะขึ้นรถเพราะตัวกูเหม็นใครทนได้ก็ทน ทนไม่ได้ก็ช่างมัน กูจะขึ้น ใครจะเดือดร้อนช่างมัน ไม่ใช่พ่อแม่กู อันนี้ก็เป็นอกุศลจิตของเขา สืยต่อให้เกิดการกระทำทางกายต่อมา ทั้งหมดนี้ก็ครบองค์กรรมที่ทั้ง 2 คนนี้ทำ จะเห็นว่าทั้ง 2 ต่างก็ใช้อัตตาสร้างอกุศลกรรมทั้งนั้น คิดว่าตนควรแก่สิ่งนี้ สิ่งนี้ไม่ควรแก่ตน ตนสำคัญอย่างนี้ ตนต้องได้อย่างนี้ ไม่ควรเกิดมีอย่างนี้แก่ตน เป็นต้น ความไม่มีอัตตา ไม่มีกาย วาจา ใจ เป็นไปเพื่อเบียดเบียนทำร้ายผู้อื่น ความเมตตา ปรานี สงเคราะห์เอื้อเฟื้อผู้อื่น ยินดีเมื่อผู้อื่นได้ดีมีสุข เราย่อมไม่เร่าร้อน ไฟคือกิเลสย่อมเผาผลาญเราไม่ได้ ความถือมั่นว่าเป็นตัวตน เป็นเรา เป็นของเรา เป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนมีความละโมบอยากได้ ตั้งความพอใจยินดีและไม่พอใจยินดีอันเป็นอัตตาสูง ไม่มีจิตปารถนาดีเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ผู้อื่น อิจสา ริษยาผู้อื่น ติดใจข้องแวะ ติดข้องขัดเคืองใจ ไฟคือกิเลสย่อมเผาเราอยู่ทุกขณะจิตที่เข้าไปยึดเสพย์มัน ตามที่สมมติกิเลสสร้างขึ้นมาล่อให้จิตยึด |