หัวข้อ: ถามเรื่องการบิณฑบาตของพระ เริ่มหัวข้อโดย: Bebhudda ที่ กรกฎาคม 10, 2013, 02:14:57 PM สวัสดีครับ รบกวนผู้รู้ธรรมได้กรุณาอนุเคราะห์ความรู้เรื่องการบิณฑบาตแบบที่ผมจะกล่าวต่อไปนี้ว่ามีความถูกต้องหรือไม่ประการใด
ผมเป็นบุคคลที่รักในการทำบุญเช่นคนทั่วไป โดยเฉพาะเรื่องการใส่บาตร เมื่อก่อนเวลาทำบุญก็ไม่คิดอะไร แต่พอได้มีโอกาสเข้าไปศึกษาธรรมบ้างก็ทำให้เกิดข้อสงสัยบางประการครับ คือ ผมได้อ่านพุทธประวัติ เมื่อสมัยก่อน(พุทธกาล)เวลาพระท่านบิณฑบาต พอได้อาหารฉันตามสมควร แล้วก็กลับไปที่โคนต้นไม้ที่ตนเองพำนักอยู่แล้วก็ฉัน ท่านจะไม่สะสมอาหาร หรือวัตถุอย่างอื่น เป็นผู้อยู่ง่าย แต่ปัจจุบัน เวลาผมไปใส่บาตรแล้วเห็นพระที่รับอาหารนั้น รับอาหารจนล้นบาตร แล้วก็ไปใส่ย่ามบ้าง ถุงบ้าง(อาจมีลูกศิษย์ช่วยขน)และก็รับไปเรื่อยๆ แล้วก็กลับวัด แบบนี้พระเหล่านี้ได้ทำผิดพระวินัยหรือไม่ครับ หากเราทำบุญกับท่านเหล่านั้น เราจะทำให้พระผิดวินัยไปด้วยหรือเปล่า? คือผมอยากทำบุญ แต่ไม่อยากได้บาปครับ ทุกวันนี้ก็เลยพิจารณาบุญกริยาวัตถุ อื่นๆแทนบ้าง...ตามสมควร แค่นี้ครับ ขอบคุณล่วงหน้าครับสำหรับผู้ที่จะได้ตอบให้หายสงสัยครับ หัวข้อ: ถามเรื่องการบิณฑบาตของพระ เริ่มหัวข้อโดย: ไหลเย็น ที่ กรกฎาคม 10, 2013, 11:38:09 PM ขอแสดงความคิดเห็นส่วนตัวนะครับ ไม่ใช่คำตอบว่าจะต้องถูกหรือไม่ถูกนะครับ
คือสมัยนี้เราใส่บาตรจะเป็นอาหารถุง หากเราใส่รวมกันกับข้าวสุก ก็คลุกปนกัน ไม่น่าดู ลองคิดถึงตัวเรา หากมีหนังยางหล่นใส่จานข้าวของเราบ้าง เรายังนึกรังเกียจ ก็ฉันนั้น ดังนั้นการเอากับข้าวถุง แยกไปใส่ในย่าม ก็ควรแล้วครับ **************** อีกเรื่องหนึ่ง ก็คือ การที่พระท่านรับอาหารเป็นจำนวนมาก ไม่ได้เอาไปไหนหรอกครับ ผมเรียนพระอภิธรรมที่วัดแห่งหนึ่ง(สงวนชื่อไว้ก่อน) ตอนเที่ยงก็ได้อาหารจากท่านพระอาจารย์นั่นแหละครับ อาหารของท่านที่ได้ใส่บาตร ไม่ได้เสียเปล่าครับ ก็ได้เป็นปัจจัยหล่อเลี้ยงคนที่มาเรียนอภิธรรม ได้มีแรงเล่าเรียนกันต่อในช่วงบ่าย ท่านก็ได้บุญเพิ่มขึ้นอีก พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า เมื่อศาสนาจะอันตรธาน พระอภิธรรมจะอันตรธานก่อนเป็นอันดับแรก ดังนั้น การเรียนพระอภิธรรม จึงเป็นการช่วย สืบทอดรักษาเอาไว้ ไม่ให้อันตรธานไปก่อนเวลาอันควร ปล. ทุกวันนี้ คนเรียนก็น้อยลงเรื่อยๆอยู่แล้วครับ ขอเจริญในธรรมครับ หัวข้อ: ถามเรื่องการบิณฑบาตของพระ เริ่มหัวข้อโดย: Bebhudda ที่ กรกฎาคม 11, 2013, 05:22:39 PM ขอบพระคุณท่าน"ไหลเย็น" มากครับ
แต่ผมก็ยังสงสัยอยู่ดีครับว่า พระท่านควรจะรับอาหารเกินบาตรที่ตนเองถือ(เกินความจำเป็น) หรือไม่ ในขณะบิณฑบาต เพราะพระพุทธองค์ทรงตรัสเรื่องการเป็นผู้อยู่ง่าย เลี้ยงง่าย การไม่สะสมอาหาร วัตถุ หรือการห้ามรับเงินทอง เป็นต้น ... ส่วนเรื่องการเรียนอภิธรรม ก็ขออนุโมทนาสาธุด้วยคนครับ แต่ไม่ว่ายังไง อีก 2400 กว่าปี ศาสนาก็อันตรธานอยู่ดี และตอนนั้น มนุษย์ก็มีอายุขัยอยู่ที่ 50 ปี และจะลดลงไปเรื่อยๆ ยุคนั้นก็คงมีผู้มีบุญ หรือพระอริยะคงหาได้ยากยิ่ง คงต้องเร่งสร้างบุญกุศลนับแต่บัดนี้ครับ หัวข้อ: ถามเรื่องการบิณฑบาตของพระ เริ่มหัวข้อโดย: ไหลเย็น ที่ กรกฎาคม 11, 2013, 09:06:54 PM ขอบคุณครับ
ความเคลือบแคลงสงสัยใน พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ในทางอภิธรรม คือเกิด วิจิกิจฉาเจตสิก เข้าประกอบกับจิต เป็นเจตสิกฝ่ายอกุศล ถ้าเราทำบุญในขณะมีความสงสัย ขณะนั้น จิตเรากำลังเป็นอกุศล บุญจะไม่เกิด อานิสงค์ที่ได้ จะกลายเป็น อเหตุกะ คือไม่มีเหตุ ก็ไม่ได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย สู้จิตที่เป็นกุศล ประกอบด้วยศรัทธาไม่ได้ ขอเจริญในธรรมครับ หัวข้อ: ถามเรื่องการบิณฑบาตของพระ เริ่มหัวข้อโดย: เกียรติคุณ ที่ กรกฎาคม 12, 2013, 11:18:31 AM - ทาน คือ การสละให้ ให้แล้วไม่มาคิดเล็กคิดน้อย หรือ มาเสียดายในภายหลัง ให้โดยไม่หวังคืน ไม่หวังสิ่งใดตอบแทน นอกจากให้ผู้รับนั้นได้ใช้ประโยชน์สุขยินดีจากการให้นั้นของตน
- ทานอันเราสละให้แล้ว ให้เพื่อให้ผู้รับได้เป็นสุข ไม่มีฉันทะ(เป็นไปในความติดใจใคร่ตามเพลิดเพลินพอใจยินดี) และ ปฏิฆะ(เป็นไปในความขุ่นมัว ติดข้อง ขัดเคืองใจไม่พอใจยินดี) ทานนั้นย่อมสมบูรณ์ บริบูรณ์สำเร็จด้วยดี - หากท่าน Bebhudda ทำทานด้วยใจที่มีฉันทะและปฏิฆะเครื่องอกุศล ทานนั้นย่อมไม่สำเร็จ และ ไม่มีประโยชน์ เรียกว่าสักแต่ว่าให้ไปเพื่อให้ตนเองได้บุญแต่การนี้มันไม่ได้บุญนอกจากกิเลสตนครับ - เมื่อขณะที่คุณใส่บาตรนั้น เจตนาของคุณก็เจาะจงที่จะใส่บาตรให้กับพระสงฆ์รูปนี้ๆหรือพระคณะนี้ๆที่มาบิณฑบาตรที่คุณนั้นมองเห็นอยู่แล้ว แล้วเมื่อคุณนั้นได้ใส่บาตรพระรูปนั้นๆไปแล้วการที่พระสงฆ์รูปนั้นๆหรือคณะสงฆ์นั้นๆจะเก็บของจากบิณฑบาตรนั้นไว้เพื่อสิ่งใด นั่นเป็นส่วนกุศลธรรมและอกุศลธรรมของพระผู้รับบาตรนั้น บุญใด-กรรมใด-อาบัติใดๆจากที่ท่านทำนั้นไม่ใช่ของคุณแต่เป็นเพราะตัวพระท่านทำเองไม่เกี่ยวกับเรา คุณ Bebhudda ไม่ได้ไปลิขิตกรรมของใครได้ เผลๆปรามาศมั่วๆถูกพระอริยะเจ้่าเข้าตัวคุณนั้นต้องใช้กรรมอย่างสาสมด้วย พระพุทธเจ้าจึงสอนให้ดูที่กายใจตนไทม่ใช่คนอื่น หากติดข้องใจก็กลับไปอ่านคำตอบใน 3 ข้อข้างต้นที่ผมทำเป็นตัวอักษรสีเขียวจนแจ่มแจ้งครับ - แล้วทีนี้เมื่อคุณทำบุญใส่บาตรแล้วไม่มีจิตเป็นกุศล มีแต่อกุศลเกิดขึ้น นั่นคือ ขณะใดขณะหนึ่งที่คุณให้ทานนั้นมีปฏิฆะร่วมอยู่ กรรมก็เกิดแก่คุณ Bebhudda แม้นให้ไปแล้วก็เกิดปฏิฆะเสียดาย หรือ ติดใจ ข้องใจ ขัดใจใดๆในภายหลัง นั่นก็เป็นกรรมของคุณ Bebhudda ไม่เกี่ยวกับผมหรือใคร กรรมที่ติดคุณมาก็จะทำให้คุณขุ่นมัวใจอยู่อย่างนี้แหละ นั่นแหละกรรมของคุณ หลังจากนี้เวลาคุณใส่บาตรด้วยผลกรรมนั้นๆฟก็จะทำให้คุณเกิดอกุศลวิตก คือ คิดเรืองที่เป็นอกุศลขึ้นมาทุกครั้งในจิตใจอย่างไม่สิ้นสุด กลายเป็นบาปทุกข์ครั้งที่ทำ นี่แหละผลของอกุศลกรรมนั้น มันจะติดอยู่ที่คุณจนกว่าจะชำระกรรมนั้นหมดหรือกุศลธรรมใดๆของคุณนั้นมากพอ อกุศลธรรมนี้มันจึงจะหายไป - ดังนั้นเมื่อคุณบอกกล่าวคนอื่นให้ทำบุญทำกุศลปฏิบัติธรรม ตัวคุณเองก็ต้องเข้าใจและปฏิบัติในสิ่งนี้ด้วย และ ตัวคุณเองนั้นได้ทำให้ทานนั้นบริสุทธิ์ บริบูรณ์แล้วหรือยัง ธรรมมะใดๆที่พระพุทธเจ้าสอนย่อมเป็นเครื่องแห่งกุศลเป็นเบื้องต้น คุณ Bebhudda มีกุศลแล้วหรือยัง ธรรมมะใดๆที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนล้วนอยู่ในกายใจตนไม่ไปพาดพิงอ้างอิงผู้อื่น ดังนั้นคุณควรเจริญในสัลเลขะสูตรเสีย - นี่คือสัลเลขะสูตร http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/sutta_line.php?B=12&A=1237 (http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/sutta_line.php?B=12&A=1237) ขอเธอจงเพียรปฏิบัติเถิดเพื่อละในความขุ่นมัวใจ ขัดข้องใจอันใดนั้น อันจะทำให้เธอยังสู่อกุศลเครื่อยหายนะทั้งสิ้นนี้ หากทำได้คุณเท่านั้นที่ได้ไม่มีใครได้ตามคุณ หากคุณทำตามสัลเลขะสูตรนี้ไม่ได้แม้ชั่วขณะจิตหนึ่ง ก็ไม่ควรไปปรามาศผู้อื่น(แต่ไม่รู้คุณจะรู้ทันจิตไหมนะครับ เพราะหากคุณรู้ทันจิตนี้ย่อมละความขุ่นมัวขัดเคืองใจ และ ความติดใจเสียจงได้) หัวข้อ: ถามเรื่องการบิณฑบาตของพระ เริ่มหัวข้อโดย: ไหลเย็น ที่ กรกฎาคม 12, 2013, 11:51:00 PM ท่าน เกียรติคุณ อธิบายได้ดีมากครับ
เนื่องจากเรียนอภิธรรมมาจึงอดเสริมไม่ได้ครับ ขออนุญาตนะครับ ปฎิฆะ คือ ความขัดเคือง ประกอบอยู่กับ จิต ๒ ดวง ทีี่เป็น โทสะมูลจิต เจตสิกที่เกิดร่วมด้วยเป็น อกุศลเจตสิก คือ โทสะ อิสสา มัจฉริยะ กุกกุจะ และ โมหะ อหิริกะ อโนตตัปปะ อุทธัจจะ จะเห็นได้ว่า เมื่อเกิด ปฎิฆะ จะนำพาให้ อกุศลเจตสิก เกิดขึ้นตามมาอีกหลายดวงเลยทีเดียว ********** การทีคนเราทำบุญเหมือนกัน แต่ได้รับผลต่างกัน เช่นไปทอดกฐินในคณะเดียวกัน แต่ได้รับผลไม่เท่ากัน เป็นเพราะ เจตนา ๓ ต่างกัน นั่นคือ ๑.ก่อนให้ ๒.ขณะให้ ๓.หลังจากให้แล้ว ก่อนให้ก็ศรัทธา ขณะให้ก็ยินดี หลังจากให้ก็ไม่เสียดาย ถ้าเจตนา ๓ นี้ ใครสมบูรณ์กว่า ก็ได้รับผลมากกว่า ปล. วันนี้ไปดูผลสอบที่วัดระฆังมา สอบได้ที่ ๑ ครับ ขอเจริญในธรรม หัวข้อ: ถามเรื่องการบิณฑบาตของพระ เริ่มหัวข้อโดย: Bebhudda ที่ กรกฎาคม 13, 2013, 06:57:42 AM ขอบคุณทุกท่านเป็นอย่างสูงครับ |