หัวข้อ: ธรรมารมณ์ที่ควรเสพย์ และ ธรรมารมณ์ที่ไม่ควรเสพย์ เริ่มหัวข้อโดย: เกียรติคุณ ที่ มิถุนายน 01, 2013, 06:11:06 PM ธรรมารมณ์ที่ควรเสพย์ และ ธรรมารมณ์ที่ไม่ควรเสพย์ ธรรมารมณ์ที่ไม่ควรเสพ (รู้) ดูก่อนสารีบุตร เมื่อบุคคลเสพธรรมารมณ์ที่ร้ได้ทางมโนแบบไร อกุศลธรรมทั้งหลายจะเจริญขึ้น แต่กุศลธรรมทั้งหลายกลับเสื่อมลง ธรรมา- รมณ์ที่รู้ได้ทางมโนแบบนี้ ไม่ควรเสพ. ธรรมารมณ์ที่ควรเสพ (รู้) ดูก่อนสารีบุตร แต่ว่าเมื่อบุคคลเสพธรรมารมณ์ที่รู้ได้ทางมโนแบบไร อกุศลธรรมทั้งหลายจะเสื่อมลง แต่กุศลธรรมทั้งหลายกลับเจริญขึ้น ธรรมา- รมณ์ที่รู้ได้ทางมโนแบบนี้ ควรเสพ. ข้อนั้นใด ที่เราตถาคตกล่าวไว้ดังนี้ว่า ดูก่อนสารีบุตร เราตถาคต กล่าวถึงธรรมารมณ์ ที่รู้ได้ทางมโน ไว้ ๒ อย่างคือ ที่ควรเสพอย่าง ๑ ที่ไม่ ควรเสพอย่าง ๑ เราตถาคตอาศัยเนื้อความดังว่ามานี้ จึงได้กล่าวไว้แล้ว _____________________________________________________________________ ธรรมารมณ์ คือ ประสาทรูป 5, สุขุมรูป 16, จิต 89, เจตสิก 52, นิพพาน 1 บัญญัติเหล่านี้เป็นไปได้ทางรูปและนามโดยแท้ ขันธ์ 5 และรูปนามเป็นปัจจุบันที่อายตนะ 12 มีดังนี้ 1. ขันธ์ 5 หรือรูปนามเป็นปัจจุบัน ในขณะที่ตาได้เห็นรูปอยู่นี้ 2. ขันธ์ 5 หรือรูปนามเป็นปัจจุบัน ในขณะที่หูได้ยินเสียงอยู่นี้ 3. ขันธ์ 5 หรือรูปนามเป็นปัจจุบัน ในขณะที่จมูกได้กลิ่นอยู่นี้ 4. ขันธ์ 5 หรือรูปนามเป็นปัจจุบัน ในขณะที่ลิ้นได้รสอยู่นี้ 5. ขันธ์ 5 หรือรูปนามเป็นปัจจุบัน ในขณะที่เราสัมผัสอยู่นี้เป็นปัจจุบันทั้งหมด 6. ขันธ์ 5 หรือรูปนามเป็นปัจจุบันที่ใจกำลังนึกคิดอยู่ ก็เพราะมันเป็นผู้ปรุงแต่งให้ขันธ์ อื่น ๆ เกิดขึ้น ซึ่งอยู่ในกิริยาอาการ อันแตกดับ เวทนา สุข ทุกข์ ดีใจ เสียใจ อยากได้อยากดี ไม่อยากเลว อยากโกรธ อยากโลภ อยากหลง อยากนินทาคนอื่น อยากฉลาด ไม่อยากเป็นคนโง่ ล้วนแล้วแต่สังขาร เป็นผู้แต่งขึ้นมาทั้งนั้น |