หัวข้อ: วิเวกธรรม...(ธรรมบรรยายหลวงปู่มั่น ภูริทัตตเถระ) เริ่มหัวข้อโดย: เด็กหน้าวัด ที่ สิงหาคม 30, 2010, 03:58:10 PM ~วิเวกธรรม~...(ธรรมบรรยายหลวงปู่มั่น ภูริทัตตเถระ) สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดง..'วิเวกธรรม' แก่เมตตคูมาณพ ดังต่อไปนี้้... อุปกิเลสมีประเภท ๑๐ ประการ คือ ๑.ตัณหา ๒.ทิฏฐิ ๓.กิเลส ๔.กรรม ๕.ทุจริตความประพฤติชั่วด้วยกาย วาจา และใจ ๖.อาหาร ๗.ปฏิฆะ ๘.อุปาทินนกะ ธาตุสี่ ๙.อายตนะหก ๑๐.วิญญาณกายหก ทุกข์ทั้งหลายมีชาติทุกข์เป็นต้น ย่อมมีอุปธิกิเลสเหล่านี้เป็นเหตุ เป็น นิพพาน เป็นปัจจัย เมื่อบุคคลมารู้ทั่วถึงรู้แจ้งประจักษ์ชัดเจนด้วยวิปัสสนาปัญญาว่า.. สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา หรือมา รู้ทั่วถึงว่า...ยํ กิญฺจิ สมุทยธมฺมํ สพฺพนฺตํ นิโรธธมฺมํ...สิ่งใดสิ่งหนึ่ง มีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งหมดมีความดับเป็นธรรมดา ดังนี้แล้วเป็นผู้ตามเห็นซึ่งชาติว่า เป็นแดนเกิดแห่งวัฏฏทุกข์ และ มาเห็นว่าอุปธิเป็นแดนเกิดแห่งชาติทุกข์เป็นต้นแล้ว ก็ไม่พึงทำอุปธิ มีตัณหาเป็นต้นให้เจริญขึ้นในสันดานเลย เมื่อจะทรงแสดงธรรมเครื่องข้ามตัณหา จึงตรัสพระคาถาว่า...ยํ กิญฺจิ สญชานาสิ อุทฺธํ อโธ ติโยญฺจาปิ มชฺเฌ เอเตสุ นนฺทิญฺจ ปนุชฺช วิญฺญาณํ เถา น ติฏฺฐ....ดูก่อนท่านทั้งหลาย ท่านจงรู้สิ่งใดสิ่งหนึ่งใน เบื้องต้น เบื้องต่ำ และเบื้องขวางสถานกลาง แล้วจงบรรเทาเสีย จงละ เสีย ซึ่งความเพลิดเพลินและความถือมั่นในสิ่งเหล่านั้น วิญญาณของ ท่านก็จะไม่ตั้งอยู่ในภพดังนี้ คำว่าเบื้องบน เบื้องต่ำ เบื้องขวางสถานกลางนั้น ทรงแสดงไว้ ๖ นัย คือนัยที่ ๑ อนาคตเป็นเบื้องบน อดีตเป็นเบื้องต่ำ ปัจจุบันเป็นเบื้อง ขวางสถานกลาง นัยที่ ๒ เหล่าธรรมที่เป็นกุศล เป็นเบื้องบน เหล่า ธรรมที่เป็นอกุศลเป็นเบื้องต่ำ เหล่าธรรมที่เป็นอัพยากฤตเป็นเบื้อง ขวางสถานกลาง นัยที่ ๓ เทวโลกเป็นเบื้องบน อบายโลกเป็นเบื้อง ต่ำ มนุษสโลกเป็นเบื้องขวางสถานกลาง นัยที่ ๔ สุขเวทนาเป็นเบื้อง บน ทุกขเวทนาเป็นเบื้องต่ำ อุเบกขาเวทนาเป็นเบื้องขวางสถานกลาง นัยที่ ๕ อรูปธาตุเป็นเบื้องบน กามธาตุเป็นเบื้องต่ำ รูปธาตุเป็นเบื้อง ขวางสถานกลาง นัยที่ ๖ กำหนดแต่พื้นเท้าขึ้นมาเบื้องบน กำหนดแต่ ปลายผมลงไปเบื้องต่ำ ส่วนท่ามกลางเป็นเบื้องขวางสถานกลาง เมื่อท่านมาสำคัญหมายรู้เบื้องบน เบื้องต่ำ เบื้องขวางสถานกลางทั้ง ๖ นัยนี้แล้ว แม้อย่างใดอย่างหนึ่งพึงบรรเทาเสียซึ่งนันทิ ความยินดี เพลิดเพลิน และอภินิเวส ความถือมั่นด้วยตัณหา และทิฏฐิในเบื้องบน เบื้องต่ำ เบื้องขวาง สถานกลาง เสียให้สิ้นทุกประการ แล้ววิญญาณ ของท่านจะไม่ตั้งอยู่ในภพและปุณภพอีกเลย เมื่อบุคคลมารู้ชัดด้วย ญาณจักษุในส่วนเบื้องบน เบื้องต่ำ เบื้องขวางสถานกลาง ไม่ให้ตัณหา ฟุ้งซ่านไปในภพน้อย ภพใหญ่ มีญาณหยั่งรู้ในอริยสัจ์ ๔ เป็นผู้ไม่มีกังวล คือราคะ โทสะ โมสะ มานะทิฏฐิ และทุจริตต่างๆ ละกังวลทั้งปวงเสีย แล้ว...กามภเว อสตฺตํ ก็เป็นผู้ไม่ข้องเกี่ยวพันพ้นในวัตถุกามและกิเลส กาม ในกามภพและปุณภพอีกเลย ท่านนั้นเป็นผู้ข้ามโอฆะ ห้วงลึกที่กดสัตว์ให้จมอยู่ในวัฏฏสงสารฯ โอฆะนั้น ๔ ประการคือ ๑ กามโอฆะ ๒ ภวโอฆะ ๓ ทิฏฐิโอฆะ ๔ อวิชชาโอฆะ...ติณฺโณ จ ปรํ ท่านนั้นย่อมข้ามห้วงทั้ง ๔ ไปยังฝั่ง ฟากโน้น คือพระนิพพานธรรม..อขีเณ เป็นผู้ไม่มีตะปูคือกิเลสเป็น เครื่องตรึงแล้ว กิเลสทั้งหลายที่เป็นประธาน คือ ราคะ โทสะ โมหะ มานะ ทิฏฐิ และกิเลสที่เป็นบริวาร มีโกโธ อุปนาโห เป็นต้น จนถึงอกุศลอภิ- สังขารซึ่งเป็นประหนึ่งตะปูเครื่องตรึงจิตให้แนบแน่นอยู่ ยากที่ สัตว์จะฉุดจะถอนให้เคลื่อนให้หลุดได้ เมื่อบุคคลมาละเสียแล้ว ตัดขึ้นพร้อมแล้ว เผาเสียด้วยเพลิงคือญาณแล้ว เป็นนรชนผู้รู้ผู้ ดำเนินด้วยปัญญา อันเป็นเครื่องรู้แจ้งชัดเป็นเวทคูผู้ถึงฝั่งแห่ง วิทยาในพระศาสนานี้ ไม่มีความสงสัยในทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค และปฏิจจสมุปบาทธรรมปัจจยการ ย่อมบรรลุถึง..'วิเวกธรรม'... คือ พระอมฤตนฤพานด้วยประการฉะนี้...ฯ ~ขอนอบน้อมแด่พระไตรสรณะทั้งสาม~ ขอบคุณ ที่นี่ดอทคอม |