สนทนาธรรม ฟังธรรม อ่านธรรมะ บทความธรรมะ หลักธรรมคำสอน กฎแห่งกรรม dhamma

ธรรมะออนไลน์ => กระดานถาม-ตอบ => ข้อความที่เริ่มโดย: สุนัน ที่ กรกฎาคม 21, 2016, 10:21:54 AM



หัวข้อ: สวดคาถา พระไตร ปิฏกแล้วขนพอง
เริ่มหัวข้อโดย: สุนัน ที่ กรกฎาคม 21, 2016, 10:21:54 AM
เป็นเพราะอะไร  ผมสวดหลายวันผ่านมาไม่มีอะไร   แต่พอตั้งไจออกเสียงอย่างจริงจัง  รู้ศึกขนพอง  เหมือนมีไครมาอยู่ข้างๆ  ผมสวดผิดหรือเปล่าครับ  ก่อนสวดผมต้องทำอย่างไร   สวดเสร็จผมต้องท่องบทไหนปิดท้าย  หรือว่าแผ่เมตตาอย่างไรครับ


หัวข้อ: สวดคาถา พระไตร ปิฏกแล้วขนพอง
เริ่มหัวข้อโดย: ไหลเย็น ที่ กรกฎาคม 22, 2016, 10:32:07 PM
เปลี่ยนมาสวด ธัมมจักรกัปปวัตนสูตร ได้บุญกว่าครับ


หัวข้อ: สวดคาถา พระไตร ปิฏกแล้วขนพอง
เริ่มหัวข้อโดย: เกียรติคุณ ที่ กรกฎาคม 23, 2016, 09:25:12 AM
เขาเรียกติดสมมติ หลงไปในสิ่งไม่จริง
นอกจาก ศีล และ ทาน ที่เป็นบาทฐานให้ภาวนาแล้ว การสวดมนต์ก็เป็นบาทฐานให้แก่การภาวนาเช่นกัน ยิ่งสวดมนต์ด้วยรู้คำแปลยิ่งทำให้จิตเราสะสมเหตุการภาวนาทั้ง สมถะและวิปัสสนาได้ไว

     สวดมนต์ท่านให้มีสติรู้ว่าสวดมนต์ถึงตรงไหน วรรคไหน รู้ตัวว่าสวดมนต์ สวดเป็นทำนอง พร้อมเพียง จิตรู้แนบอารมณ์เนื้อความบทสวดมนต์นั้น ทำจิตให้จดจ่ออยู่ในบทสวดโดยส่วนเดียวได้นาน ไม่ส่งจิตออกนอกไปติดสมมตินั่น โน่น นี่ ทำได้ก็เป็นภาวนา ทำไม่ได้เป็นเพียงท่องบ่น
     หากทำเป็นจิตเดียวได้ จะเกิดวูบหนึ่งเหมือนมีกำลังอัดทุกอนูรูขุมขน ไม่วอกแวก สงบ เป็นที่สบาย ปากมันก็ท่องบ่นไป เมื่อจิตแนบอารมณ์กับเนื้อความเรื่องราวที่สวด(คนรู้ความหมายบทสวด) จิตมันเป็นอารมณ์เดียวหน่วงนึกนิ่งแช่อยู่ในกิริยาอาการที่มีต่อบทสวดมนต์อยู่นั้นไม่มีอารมณ์อื่นแทรกแทรง ปากที่ขมุบขมิบเสียงสวดมนต์หรือความตรึกถึงบทสวดแยกจากจิตที่ตั้งมั่นมีกำลังอัดแน่น มีกำลังมากจนเหมือนกายนี้เล็กเกินไม่พอแก่กำลังของจิตนั้น ทำให้เหมือนจิตตั้งตรงกลางกายเราเหวี่ยงเอนไปด้วยกำนั้นบ้าง หรือเหมือนกายเราขยายใหญ่ขึ้นบ้าง หรือเหมือนจิตเราไม่อยู่ในกายแต่ลอยตั้งอยู่ด้านบนเหนือกาย เพ่งเอากิริยาอาการที่แผ่เอาความหน่วงนึกตามบทสวด หรือเพ่งดูอาการของกายและความรู้สึกที่เกิดขึ้นบ้างโดยไม่ตรึกนึกคิดตามอาการที่เกิดขึ้น แต่จิตมีความผ่องใสโล่งสบายบ้างเหมือนมีกำลังโอบอุ้มกายใจเราไว้อยู่ไม่ให้กวัดแกว่งหวั่นไหวตั้งอยู่แม้มีอาการนั้นๆเกิดขึ้น จิตจะเดินเคลื่อนเข้าปฐมฌาณ โดยมีธรรมของพระพุทธเจ้าที่ทรงตรัสสอนไว้ดีแล้วนั้นเป็นอารมณ์ เรียก ธัมมานุสสติ ตรงนี้แหละที่เรียกว่า ปัจจัตตัง สิ่งที่ผู้รู้ย่อมรู้ได้เฉพาะตน ดังนี้..


บทความและไฟล์ภาพ ในเว็บไซต์แห่งนี้อาจนำมาจากเว็บไซต์อื่นๆ ที่ทีมงานคิดว่ามีประโชยน์ต่อผู้อ่าน โดยให้ผู้อ่านเกิดควมบันเทิง และให้ความรู้ โดยที่เราจะให้เครดิตทุกครั้งที่นำมา หากไฟล์ภาพหรือบทความใด ที่เจ้าของลิขสิทธิ์ไม่ต้องการให้นำมาแสดง โปรดแจ้งมาที่ tumcomputer@hotmail.com ทางทีมงานจะได้นำบทความนั้นออกทันที ขอบคุณครับ


เว็บนี้จัดทำโดย นายสุรัตน์ ศรลัมภ์ และครอบครัว อุทิศบุญให้เจ้ากรรมนายเวร และผู้มีพระคุณ

HTML Hit Counters