หัวข้อ: พิธีทำบุญตักบาตรเทโวโรหณะ เริ่มหัวข้อโดย: เด็กหน้าวัด ที่ ตุลาคม 01, 2010, 08:59:29 PM พิธีทำบุญตักบาตรเทโวโรหณะ วันเทโวโรหณะ คือ วันที่พระพุทธเจ้าเสด็จลงจากเทวโลก หลังจากเสด็จ ขึ้นไปจำพรรษาอยู่ในดาวดึงสพิภพถ้วนไตรมาส และตรัสพระอภิธรรมเทศนาโปรด พระพุทธมารดาในเทวโลกนั้นมาตลอด ๓ เดือน พอออกพรรษาแล้ว ก็เสด็จกลับมา ยังมนุษยโลก โดยเสด็จลงทางบันไดสวรรค์ที่ประตูเมืองสังกัสสนครอันตั้งอยู่เหนือ กรุงสาวัตถี วันเสด็จลงจากเทวโลกนั้นเรียกกันว่า "วันเทโวโรหณะ" ตรงกับวัน มหาปวารณาเพ็ญเดือน ๑๑ วันนั้น ถือกันว่าเป็นวันบุญ วันกุศลที่สำคัญวันหนึ่งของ พุทธบริษัทโบราณเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "วันพระเจ้าเปิดโลก" รุ่งขึ้นจากวันนั้นเป็น วันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๑ จึงมีการทำบุญตักบาตรเทโวโรหณะกันเป็นการใหญ่ เพื่อ เฉลิมฉลองการเสด็จลงจากเทวโลกของพระพุทธเจ้า เรืองราวของวันเทโวโรหณะเป็นวันพระเจ้าเปิดโลกนี้ มีเล่าไว้ในคัมภีร์ อรรถกถาธรรมบทใจความว่า ในสมัยมัชฌิมโพธิกาล พระพุทธองค์ประทับประจำอยู่ที่พระนครสาวัตถี เป็นเวลา ๒๕ พรรษา สมัยนั้นลาภสักการะอันเคยบริบูรณ์แก่เหล่าเดียรถีย์นิครนถ์ นักบวชนอกพระพุทธศาสนา ได้เสื่อมถอยลงโดยลำดับกาลเวลา เพราะประชาชน ส่วนใหญ่หันมานับถือพระพุทธศาสนาสิ้น เป็นเหตุให้พวกเดียรถีย์นิครนถ์ต่างพากัน ดิ้นรนเดือดร้อย หาทางกลั่นแกล้งและทำลายพระพุทธศาสนาโดยประการต่าง ๆ เป็นต้น ว่าแกล้งใส่ร้ายพระพุทธองค์บ้าง แกล้งเบียดเบียนพระสงฆ์และพุทธบริษัทบ้าง แต่ ทุกครั้งก็ต้องแพ้ภัยตนเอง ถึงความย่อยยับหนักเข้าทุกที สุดท้ายพวกเดียรถีย์และสาวกของตน ก็คิดกลขึ้นได้อย่างหนึ่ง อาศัยเหตุที่พระพุทธองค์ทรงบัญญัติห้าม พระสาวกไม่ให้แสดงอิทธิปาฏิหาริย์ โดยเข้าใจว่าพระพุทธองค์คงไม่มีการแสดง ปาฏิหาริย์ด้วยพระองค์เองตามที่ทรงห้ามนั้นด้วย จึงช่วยกันป่าวข่าวว่าพระพุทธเจ้า เหล่าพระสาวกสิ้นท่า หมดอิทธิปาฏิหาริย์ไร ๆ แล้ว จึงงดการแสดง ตรงกันข้ามกับ เหล่าคณาจารย์เดียรถีย์ซึ่งมีปาฏิหาริย์อบรมมั่นคงเต็มที่พร้อมอยู่เสมอ จะแสดงให้ ปรากฏเมื่อไรได้ทุกเมื่อ ถ้าไม่เชื่อก็เชิญพระพุทธเจ้ามาแสดงปาฏิหาริย์แข่งกันดูว่า ใครจะเก่งกาจสามารถกว่าใคร คำโฆษณาท้าทายทำนองนี้ได้แพร่หลายสะพัดไปทั่ว ผู้ไม่รู้ความจริงจนถึง แก่นของพระพุทธศาสนา ต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์ทั่วไปทุกหัวระแหง พระเดียรถีย์ เห็นพระพุทธองค์และพระพุทธสาวกเงียบเฉยไม่ทรงแสดงอาการอย่างไรในการโฆษณา ชวนเชื่อของตนก็ได้ใจยิ่งโฆษณาทับถมใหญ่ หาว่าพระพุทธองค์ไม่สามารถจริงแน่แล้ว จึงไม่กล้ารับคำท้าแสดงปาฏิหาริย์แข่งกัน พระพุทธองค์ทรงเห็นว่า เรื่องนี้เป็นเรื่อง สำคัญยิ่งถ้าทรงนิ่งต่อไป ผลร้ายจะเกิดแก่พระศาสนาของพระองค์แน่ จึงรับสั่งว่า พระองค์จะแสดงยมกปาฏิหาริย์ที่ควงไม้มะม่วง ในวันเพ็ญเดือนอาสาฬหะ คือเดือน ๘ ก่อนถึงวันเข้าพรรษาปีนั้น ๑ วัน พวกเดียรถีย์ไม่คาดฝันว่าพระพุทธองค์จะกลับทรง แสดงปาฏิหาริย์อีกเช่นนั้น ต่างพากันตะลีตะลานวางอุบายแกล้งจะไม่ให้พระพุทธองค์ ทรงแสดงตามที่รับสั่งได้ แล้วตนจะถือโอกาสข่มว่าพระองค์ไม่จริงตามพูดจึงแบ่งกัน เป็นพวก ๆ ออกไปเที่ยวกำจัดและทำลายต้นมะม่วงไม่ว่าต้นเล็กต้นใหญ่ให้สิ้นไปจน ทั่วแขวงพระนครสาวัตถีพวกหนึ่ง ช่วยกันสร้างมณฑปสูงใหญ่ขึ้นในวัดของพวกตน พวกหนึ่ง อีกพวกหนึ่งออกเที่ยวโฆษณาให้ประชาชนไปชมการแสดงปาฏิหาริย์ของตน ในวันเพ็ญเดือนอาสฬหะเช่นกัน และให้คอยชมความล้มเหลวของพระพุทธเจ้าใน วันนั้นด้วย ขณะที่พวกเดียรถีย์ดำเนินการดังกล่าวนี้ ฝ่ายพระพุทธองค์หาทรงตระเตรียม หรือทรงเดือดร้อนต่อคำโฆษณาแต่อย่างใดไม่ คงสงบเงียบเป็นปรกติมาจนถึงวันเพ็ญเดือนอาสาฬหะ อันเป็นวันกำหนดนัดแสดงปาฏิหาริย์ตอนเช้าได้เกิดพายุใหญ่ขึ้นในพระนครสาวัตถี พายุพัดมณฑปของพวกเดียรถีย์พังพินาศลงสิ้นจนหาชิ้นดีไม่ได้ และในตอนเช้าวันนั้น พระพุทธองค์ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะทรงแสดงพระปาฏิหาริย์ตาม รับสั่งแต่ประการใด ตกตอนบ่าย มีคนเฝ้าสวนหลวงของพระเจ้าปัสเสนทิโกศล ชื่อ นายคัณฑะ นำผลมะม่วงทะวายที่หลงตาอยู่ผลหนึ่งจะไปเฝ้าพระเจ้าแผ่นดินได้พบ พระพุทธองค์ก่อน เกิดความเลื่อมใสศรัทธาจึงน้อมผลมะม่วงสุกนั้นถวายพระพุทธองค์ เมื่อพระพุทธองค์ทรงรับแล้ว ตรัสสั่งให้พระอานนท์เถระพุทธอุปัฏฐากจัดทำน้ำปานะ ด้วยผลมะม่วงนั้นถวายและได้นำเมล็ดวางลงบนพื้นดินทรงนั้นทรงแันน้ำปานะเสร็จแล้ว ทรงล้างพระหัตถ์ให้น้ำตกลงบนเมล็ดมะม่วงนั้น ทันทีก็เกิดปาฏิหาริย์เมล็ดมะม่วง นั้นได้งอกออกเป็นมะม่วงต้นสูงใหญ่ขึ้นในปัจจุบันทันใด พระพุทธองค์จึงรับสั่งว่า จะทรงแสดงปาฏิหาริย์ที่ต้นมะม่วงต้นนี้ พอข่าวแพร่ไปได้ไม่เท่าไรมหาชนก็พากันมาประชุมเนื่องแน่นแม้แต่พระ เจ้าปัสเสนทิโกศลและเหล่าเสนาข้าราชการก็เสด็จและมา พระพุทธองค์จึงทรงเริ่ม แสดงพระปาฏิหาริย์ ทรงบันดาลให้เกิดช่อไฟและท่อน้ำแล่นเป็นคู่สลับกันในอากาศโดยรอบ บริเวณต้นมะม่วงนั้นแล้วทรงเนรมิตพระพุทธนิมิตมีพระพุทธลักษณะเหมือนพระ- พุทธองค์ทุกประการขึ้นองค์หนึ่ง ให้เป็นคู่กับพระพุทธองค์ทรงเปล่งพระฉันพรรณ- รังสีกระจายออกทั่วบริเวณจับช่อไฟและธารน้ำ ซึ่งแล่นอยู่นั้น บังเกิดเป็นสีรุ่งงามระยับ ทั่วไป ทรงแสดงธรรมและทรงจงกรมสลับกันกับพระพุทธนิมิตเมื่อพระพุทธองค์ บนต้นพระพุทธนิมิตก็กลับลงมาประทับที่โคนต้นแทน สลับกันอยู่เช่นนี้ตลอดเวลา ปรากฏว่ามหาชนพากันกราบไหว้บูชาสรรเสริญพระพุทธคุณกันทั่ว การแสดงพระปาฏิหาริย์เป็นคู่ ๆ ดังกล่าวนี้ จึงเรียกว่า "ยมกปาฏิหาริย์" มีครั้งเดียว คือครั้งนี้เท่านั้น เป็นที่น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก ครั้นมหาชนได้ทราบความจริงทุกประการ ว่าพระพุทธองค์มีพระปาฏิหาริย์บันดาลได้เสมอ กันพากันสมน้ำหน้าและสาปแช่งเหล่าเดียรถีย์ที่โฆษณาทับถม พระพุทธองค์จนตนเองต้องย่อยยับลงในครั้งนี้ ครั้งรุ่งขึ้นจากวันทรงแสดงยมกปาฏิหาริย์นั้นก็เป็นวันแรมค่ำหนึ่งเดือน อาสาฬหะ ถึงกำหนดจำพรรษา พระพุทธองค์ทรงประกาศแก่พุทธบริษัทในที่นั้นว่า พระองค์จะขึ้นไปจำพรรษาในดาวดึงสพิภพตามธรรมเนียมของอดีตพระพุทธเจ้า ทั้งหลาย ทรงร่ำลาพุทธบริษัทแล้วก็เสด็จจากไป เป็นที่อาลัยแก่พุทธบริษัททั่วหน้า พวกที่ศรัทธาแรงกล้าถึงกลัยยอมลำบากยับยั้งรอท่าพระพุทธองค์อยู่ในที่นั้น จนกว่า พระพุทธองค์จะเสด็จกลับโดยไม่ยอมกลับบ้านของตนก็มีจำนวนไม่น้อย ครั้งถึงวันมหาปวารณา เพ็ญเดือน ๑๑ พระพุทธองค์ก็เสด็จกลับโดยที่ ขบวนเทพดามีท้าวสักกเทวราชเป็นประธาน ตามส่งเสด็จทางบันไดสวรรค์ลงที่ประตู เมืองสังกัสสนคร และเพราะพระพุทธานุภาพบันดาลในการเสด็จลงจากเทวโลกคราว นั้น ตำนานกล่าวว่า มนุษย์และเทวดา กับบรรดาสัตว์นรกทั่วไปต่างมองเห็นกายของ กันและกันปรากฏชัด วันนั้นโทษกรรมกรณ์ในนรกระงับชั่วคราวจึงเป็นวันสงบ เยือกเย็นของโลกทั้ง ๓ ฉะนั้นจึงเรียกว่า "วันพระเจ้าเปิดโลก" และในการเสด็จ ลงจากเทวโลกในวันนั้น พระพุทธองค์ได้ทรงแสดงธรรมโปรดเทวดาและมนุษย์ โดย ตรัสถามปัญหาในวิสัยของบุคคลต่างประเทศอยู่ตลอดเวลา นำมาซึ่งมรรคผลนิพพาน แก่ประชาสัตว์จนนับไม่ถ้วน เช้าวันรุ่งขึ้น พุทธบริษัทจึงพร้อมใจกันใส่บาตร แด่พระสงฆ์ที่มีอยู่ทั้งหมด ในที่นั้นกับทั้งพระพุทธองค์ด้วยโดยไม่ได้นัดหมายกันก่อนเลยภัตตาหารที่ถวายใน วันนั้น ส่วนใหญ่เป็นเสบียงกรังของตน ๆ ตามมีตามได้ ปรากฏว่าการใส่บาตรวันนั้น แออัดมาก ผู้คนเข้าไม่ถึงพระ จึงเอาข้าวสาลีของตนห่อบ้าง ทำเป็นปั้น ๆ บ้าง แล้วโยน เข้าไปถวายพระ นี่เองจึงเป็นเหตุหนึ่งที่นิยมทำข้าวต้มลูกโยนเป็นส่วนสำคัญของการ ตักบาตรเทโวโรหณะเป็นประเพณีต่อมาในภายหลัง เห็นจะเพื่อรักษาจารีตที่ปรากฏึ้นในวันนั้น พุทธบริษัทในภายหลัง จึงนิยมสืบ ๆ กันมาจนเป็นประเพณีว่าถึงวันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๑ ทุก ๆ ปี ควรทำบุญตักบาตรให้เหมือนครั้งดั้งเดิม เรียกกันว่า ตักบาตรเทโวโรหณะ จนทุกวันนี้ สำหรับพิธีตักบาตรเทโวโรหณะ ที่นิยมกันทั่วไปในปัจจุบันนี้ จัดทำขึ้น ในวัด เป็นหน้าที่ของทางวัดนั้น ๆ และทายกทายิการ่วมกันจัด มีระเบียบดังต่อไปนี้ ระเบียบพิธี ๑. ก่อนถึงวันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๑ ซึ่งเป็นกำหนดวันทำบุญตักบาตร ทางวัดจะจัดให้มีงานทำบุญตักบาตรเทโวโรหณะ จะต้องเตรียม คือ ก) รถทรงพระพุทธรูป หรือคานหามพระพุทธรูป เพื่อชักหรือหามนำ หน้าพระสงฆ์ในการรับบาตร มีที่ตั้งพระพุทธรูปทรงกลางประทับรถ หรือคานหามด้วยราชวัติ ฉัตร ธงโดยรอบพอสมควรมีที่ตั้งบาตร สำหรับรับบิณฑบาตตรงหน้าพระพุทธรูปด้วย ส่วนตัวรถ หรือคานหาม จะประดับประดาให้วิจิตรพิสดารอย่างไรแล้วแต่ศรัทธา และกำลังที่ จะพึงจัดได้ ถ้ามีสามารถจัดรถทรงหรือคานหาม จะใช้อุบาสกเป็นผู้ เชิญพระพุทธรูปก็ได้ และมีผู้ถือบาตรตามสำหรับบิณฑบาต ข) พระพุทธรูปยืน ๑ องค์ จะเป็นขนาดเล็กหรือใหญ่ก็ได้ แล้วแต่จะมี หรือหาได้ สำหรับเชิญขึ้นประดิษฐานบนรถทรงหรือคานหามแล้ว ชักหรือหามนำขนวนรับบาตรเทโวโรหณะนั้น แทนองค์สมเด็จพระ- สัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าได้พระปางอุ้มบาตรเป็นเหมาะกับเหตุการณ์ที่ดี ที่สุด แต่ถ้าไม่มีพระปางอุ้มบาตร จะใช้พระปางห้ามญาติ ปางห้ามสมุทร ปางรำพึง ปางถวายเนตร หรือปางลีลา ปางใดปางหนึ่งก็ได้ ขอแต่ให้ เป็นพระพุทธรูปยืนเท่านั้น ค) เตรียมสถานที่ให้ทายกทายิกาตั้งเครื่องใส่บาตรโดยจะจัดลานวัดหรือ บริเวณรอบ ๆ โรงอุโบสถ เป็นที่กลางแจ้งแห่งใดแห่งหนึ่งก็ได้ จัดให้ ตั้งเป็นแถวเป็นแนวเรียงรายติดต่อกันไปเป็นลำดับ ๆ ถ้าทายกทายิกา ไม่มากนัก จัดแถวเดียวให้นั่งใส่อยู่ด้านเดียวกันทั้งหมด แต่ถ้ามาก จะจัดเป็น ๒ แถวให้นั่งหันหน้าเข้าหากัน เว้นช่องกลางระหว่างแถว ทั้ง ๒ ไว้สำหรับพระเดินรับบิณฑบาตพอสมควรก็ได้ ฆ) แจ้งกำหนดการต่าง ๆ ให้ทายกทายิกาทราบล่วงหน้าก่อนว่าจะกำหนด ให้ทำบุญตักบาตรพร้อมกันเวลาเท่าไร บางแห่งจัดให้มีพระธรรมเทศนา อนุโมทนาทาน หลังจากพระรับบาตรและฉันเสร็จแล้ว ๑ กัณฑ์ด้วย โดยทางวัดจัดเพิ่มขึ้นเอง และบางแห่งทายกทายิกามีศรัทธาแรงกล้า ขอให้ทางวัดจัดให้มีเทศน์ปุจฉาวิสัชนาในตอนบ่ายอีก ๑ กัณฑ์ ก็มี ถ้าจะมีเทศน์อย่างไร ต่อจากทำบุญตักบาตรนี้ ก็ต้องแจ้งกำหนดให้ ทราบทั่วกันก่อนเช่นกัน การเทศน์อนุโมทนาทานกัณฑ์เช้าเป็นหน้าที่ ของเจ้าอาวาสวัดนั้น ๆ หรือจะมอบหมายให้ภิกษุผู้สามารถรูปใดเทศน์ แทนก็ได้แต่การเทศน์ปุจฉาวิสัชนาถ้ามีในตอนบ่ายเป็นเรื่องที่ทายก- ทายิกาจะพึงขวนขวายกันเอง แต่ทางวัดก็ต้องอำนวยความสะดวก และจัดการให้ตามศรัทธาของทายกทายิกาด้วย จะถือว่าไม่ใช่ธุระ ของวัดย่อมไม่ควร ๒. สำหรับ ทายกทายิกาผู้ศรัทธาจะทำบุญตักบาตรเทโวโรหณะ เมื่อทราบ กำหนดจากทางวัดแล้ว จะต้องตระเตรียมและดำเนินการดังนี้ ก) เตรียมภัตตาหารสำหรับใส่บาตรตามศรัทธา ของใส่บาตรนอกจากข้าว เครื่องคาวหวานจัดเป็นห่อเป็นที่สำหรับใส่รูปหนึ่ง ๆ ตามธรรมเนียม แล้ว ยังมีสิ่งหนึ่งซึ่งถือเป็นประเพณีจะขาดเสียมิได้ในงานทำบุญ ตักบาตรเทโวโรหณะนี้ คือ ข้าวต้มลูกโยน เพราะถือกันว่า เป็น สัญญลักษณ์ของงานนี้โดยเฉพาะจากเรื่องราวที่เล่ามาแล้วในตอนต้น ฉะนั้น งานนี้จะเรียกว่าเป็นงานทำบุญตักบาตรข้าวต้มลูกโยน ก็เห็น จะไม่ผิด จึงจำเป็นต้องเตรียมของสิ่งนี้ไว้ใส่บาตรด้วย ข) ถึงกำหนดนัดในวันนั้น ก็นำเครื่องใส่บาตรทั้งหมดไปตั้งใส่ที่วัดตาม ที่ทางวัดจัดเตรียมให้ รอจนขบวนพระมาถึงตรงหน้าตนจึงใส่บาตร ให้ใส่ตั้งแต่พระพุทธรูปในรถหรือคานหามที่นำหน้าพระสงฆ์ไปเป็น ลำดับ จนหมดพระสงฆ์รับ หรือหมดของที่เตรียมมา ค) เมื่อใส่บาตรแล้ว ก็เป็นอันเสร็จพิธี แต่ถ้าจัดให้มีเทศน์ด้วย และ ศรัทธาจะแสวงบุญจากการฟังธรรมต่อ จะรออยู่ที่วัดจนถึงเวลาเทศน์ หรือจะกลับบ้านก่อนซึ่งอยู่ไม่ห่างไกลวัดนัก แล้วมาฟังเทศน์เมื่อถึง เวลาเทศน์ก็ได้ตามแต่อัธยาศัย ๓. สำหรับภิกษุสามเณรผู้เข้ารับบาตรในพิธีทำบุญเทโวโรหณะนี้ถ้างาน จัดขึ้นในบริเวณวัด พึงครองผ้าแบบลดไหล่อุ้มบาตรทุกรูปตามธรรมเนียมของวัด แต่ถ้าเป็นงานจัดขึ้นนอกบริเวณวัด พึงครองผ้าตามนิยมแบบออกบิณฑบาตนอกวัด ให้ชักแถวเดิน มีรถทรงหรือคานหามพระพุทธรูปนำหน้าแถว รับไปตามลำดับผู้ใส่ที่ถึง ตรงหน้าตน จนครบหรือจนเต็มบาตรจึงแยกแถวกลับกุฏิก็เป็นอันเสร็จพิธีรับบาตร ส่วนพิธีมีเทศน์ต่อ พึงปฏิบัติตามระเบียบพิธีมีพระธรรมเทศนาซึ่งจะ กล่าวข้างหน้า. แบบประกอบนักธรรมโท - ศาสนพิธี เล่ม ๒ - หน้าที่ 38 -4 หัวข้อ: พิธีทำบุญตักบาตรเทโวโรหณะ เริ่มหัวข้อโดย: EmmaMiaMi ที่ มิถุนายน 14, 2021, 12:27:02 PM ;) ;) |