หัวข้อ: มีคนตั้งมากมายหลายชีวิตที่ดิ้นรนแสวงทางออกและทางที เริ่มหัวข้อโดย: ประวิต ที่ เมษายน 06, 2012, 09:56:20 PM หนทางแห่งการแสวงหาจุดเริ่มและจุดจบ และจุดหมุ่งหมายที่จะผ่อนคลายความวิตกกังวล อันเป็นความไม่สบายใจ(ทุกข์ตามลำดับชนชั้นตามสภาพแวดล้อม) ทุกชีวิตต่างดิ้นรนแสวงหาทางๆเช่่นเดียวกัน บางบุคล ไม่รู้ตัวด้วยซำ้ไปที่ทำอย่างนั้นเรื่อยไป บางบุคลก็รู้ตัวว่าแสวงหาอยู่ แต่ใครเล่าจะสมหวังเมื่อเริ่มต้นคิดและทำ มันไม่ฟลุ๊กเหมือนซื้อล๊อตเตอรี่ปุ๊บถูกรางวัลที่1ปั๊บ มันไม่ใช่อย่างนั้นหรอกพี่น้องเอ๋ย แต่กระนั้นทุกฅนก็ต้องกระทำเรื่อยๆไป ตามวิถีทางที่ตนเองดำเนินอยู่และเดินไปตามครรลองของชีวิตที่เป็นอยู่
ฉะนั้นชีวิตทุกๆชีวิตที่ดำรงค์อยู่และกำลังเดินทางไปต่างก้แสวงหาจุดหมุ่งหมายเดียวกัน ไม่มีทางรอดพ้นใดๆมี่จะช่วยท่านได้ นอกจากเปลี่ยนมุมมองของตัวท่านเองเท่านั้น ตามครรลองแห่งวิถีของการเรียนรู้ด้วยหลักการเดิมๆ ถ้าหากว่าท่านศัทธาแต่มุมมองเดิมๆ เซมๆ ชีวิตท่านก็เซมๆเปลี่ยนอะไรไม่ได้ เชื่อเหอะความวิตกกังวลเป็นปัญหาหลักของมนุยน์ทั้งมวล ดับความวิตกกังวลได้เื้บื้องต้น(นิพพาน20%) ชาวพุทธจะหลับใหลตลอดกาลเมื่อปักใจเชื่อตามรูปธรรมแห่งสัทธา แต่ประตูแห่งการระงับ และดับสนิท ของความวิตกต่างๆยังเปิดอยู่เป็นนิจ ตลอดอนันต์กาลล์ (แล้วจะเล่าสู่กันอ่านใหม่).....สัมมาทิฎฐิ.... หัวข้อ: มีคนตั้งมากมายหลายชีวิตที่ดิ้นรนแสวงทางออกและทางที เริ่มหัวข้อโดย: ประวิต ที่ เมษายน 07, 2012, 06:39:07 PM มาอีกแล้วแนวทางที่ไม่เหมือนใครแต่สงบได้ด้วยตัวเราที่เข้าใจตามมุมมองตามธรรมชาติแท้ 84000พระธรรมขันธ์ 84000คุรุคณาจารย์ 8400ผู่รู้ทั้งหลาย 84000ตำราเรียน 84000ทิฎฐิ ทางใดเล่าจะตอบสนองเราในปัจจุบันได้ ที่เราจะผ่อนคลายความวิตกกังวลลงได้ ซึ่งเป็นเป้าหมายของพระพุทธศาสนา บางบุคลอาจอาศัยศีลสังวรณ์ ทานสังวรณ์ เพื่อให้ความรู้สึกของเราได้ผ่อนคลายไปในทิศทางที่ดี เรียกว่าบุญที่เกิดจากศีลจากทาน ก็เป็นตัวระงับความกังวลลงได้ตามระดับของการกระทำมากน้อยเมื่อเราระลึกถึง ความละอายต่อบาป ความกรงกลัวต่อบาปนั้น จำเป็นต้องดำรงค์อยู่คู่สังคมของมวลมนุษย์ เพราะเราจะมีชีวิตอยู่กับสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยการเบียดเบียนด้้วยกายวาใจไม่ได้ เพราะเราไม่สามารถจะวางใจได้เลยกับคนรอบข้าง ทุกอย่างก็จะเต็มไปด้วยความหวาดระแวง(ทุกข์ล้วนๆ) ..ตั้งมากมายมุมมองเหลือเกิน แล้วเราจะทำอย่างไร จะเชื่อไปในทิศทางและแนวทางไหนดี ตื่นเถิดชาวพุทธ ประตูแห่งนั้นยังคอยเราอยู่ เพียงแค่มีกัลญาณมิตรที่ดี แล้วกล้าที่จะคิดตามเปิดมุมมองของเราอย่างไม่ต้องกลัว ลืมพิธีกรรมที่เราเคยเชื่อว่าอย่างนั้นเป็นจริงและเป็นจริงๆ พิสูทธิ์กันในประจุบันชาติว่านิพพานนั้นจับต้องได้ขณะที่เรามีชีวิตอยู่ สงบอย่างที่เราสงบตามธรรมชาติที่เป็นจริง ความรู้ที่จริงไม่ต้องให้ใครรับรอง และเราจะบอกใครก็ไม่ได้ เพราะอารมณ์ความรู้สึกแต่ละคนไม่เหมือนกัน หนังสือตัวเดียวกัน อ่านเหมือนกัน รู้เหมือนกัน แต่จินตนาการซาบซึ่งต่างกัน...สัมมาทิฎฐิ...ดึกซักหน่อยจะมาใหม่...อิๆๆ
หัวข้อ: มีคนตั้งมากมายหลายชีวิตที่ดิ้นรนแสวงทางออกและทางที เริ่มหัวข้อโดย: ประวิต ที่ เมษายน 07, 2012, 10:10:39 PM ก่อนนอนนึกถึงคำสั่งสอนของอาจารย์และความเมตาขอพระพุทธองค์(เผื่อจะเป็นพุทธบริษัทที่ดีบ้าง) ความรู้สึกกดลงบนแป้นพิมพ์ กลายเป็นตัวอักษรบนหน้าจอ เพื่อเป็นกัลญานิมิตรที่ดีต่อเพื่อนๆพุทธบริษัท ไม่หวงห้ามในการวิจารณ์และถามไถ่ กลับมี่ความยินดีในการที่ท่านเปิดอ่านและวิตกวิจารณ์ตามหัวข้อ....เราเข้าใจดีในพัฒนาการของโลกและชีวิตมนุษย์ในปัจจุบันที่ทีความปารถนาตามอารมณ์และมุมมอง ที่ตนเองผูกพันอยู่....มันไม่ใช่เรื่องง่ายดอกครับพี่น้อง เพราะความหลากหลายของรูปธรรมที่เราเกี่ยวข้องอยู่มันมากเหลือเกิน จนบุคลบางคนท้อแท้ที่จะพูดถึงเหตุผลอันสุดยอดที่จับต้องได้จริงๆ จึงหันมาใช้รูปธรรมต่างๆเพื่อหลอกล่อให้ท่านหันกลับมาฉุกคิด (เช่นสวรรค์และนรก) แต่มันก็มีจริงนะครับท่านพี่น้อง ความรู้สึกปารถนา ที่สมปารถนาบ้างและไม่สมปารถนาบ้าง เป็นตัวขับเคลื่อนให้เราต้องดิ้นรน ส่วนกิริยาของกายนั้นที่หิว ง่วงนอนและนอนหลับเป็นต้น เป็นกิริยาของธรรมชาติสิ่งมีชีวิตเท่านั้น เมื่อใดท่านคับแค้นใจ(ทุกข์) โปรดนึกถึงธรรม และแสวงหาธรรมบ้างท่านจะค่อยๆเห็นทางออก...หลับตาโมนนึกง่าย...ชีวิตก็แค่การเดินทางจากจุดเกิด...เจริญวัย...และจุดสุดท้ายจบถึงปลายทางนอนนิ่งในกล่องสี่เหลี่ยมเล็กๆสิ้นฤทธิ์เดชทันที...ต่อจากนี้อย่าพึ่งคิดมาก เพาะมันจะพันธนาการเราไม่มีที่สิ้นสุด คิดง่ายๆแค่นี้ทุกข์ก็หดหายคลายได้เยอะเลยครับพี่น้อง...ง่วงแล้วขอลาก่อน...สวัสดีครับ...สัมมาทิฎฐิ...
หัวข้อ: มีคนตั้งมากมายหลายชีวิตที่ดิ้นรนแสวงทางออกและทางที เริ่มหัวข้อโดย: ประวิต ที่ เมษายน 08, 2012, 11:30:21 PM ดีใจที่เห็นท่านทั้งหลายเปิดอ่าน จิรักหรือจิหลอกอันนี้บ่หู้ แต่ก็ดีใจครับ ชีวิตคนเราบางครั้งก็ไม่รู้หรอกว่าเกิดมาเพื่อประโยชน์อันใด แม้แต่การดำรงค์ชีพอยู่ไปวันๆ ก็ไม่รู้ว่าเราจะทำไปเพื่ออะไร ถ้าหากไม่ประสพกับสิ่งที่รักที่พอใจบ้าง หรือประสพกับสิ่งไม่เป็นที่รักที่พอใจบ้าง หรือว่าสมปารถนาบ้างไม่สมปารถนาบ้าง ชีวิตก็จะไม่มีรสชาติหรือจิตนาการอะไรเลย มันก็ดีเหมือนกันนะครับพี่น้อง ถ้าหากสัมปฤดีไม่มี จะได้ไม่รู้ร้อนรูร้หนาว ไม่มีฝนตกไม่มีแดดออก ไม่มีดีไม่มีชั่ว ไม่มีถูกไม่มีผิด ไม่มีการกระทำที่ถูกต้องและไม่ถูกต้อง ไม่มีเสื้อแดงและเสื้อเหลืองหรือเสื้อหลากสี ไม่มีสัมปฤดีมันก็เป็นธรรมชาติล้วนๆ ก็ดีเหมือนกันนะครับ บางครั้งคนเราก็ไม่รู้จะคิดอะไรไปมากมายเนาะ เกิดมาคงอยู่บนโลกกลมๆใบนี่ไม่นานก็ต้องตายสิ้นฤทธิ์แล้ว โลกกลมๆที่ลอยคว้างอยู่กลางอวกาศ เราจะเป็นผู้วิเศษมาจากใหนหนอ หมู หมา กา ไก่ และสัตว์ทั้งหลาย...มยุษย์ด้วย... มันจะต่างกันอะไร อย่างเก่งก็แค่มุมมอง หรือทิฎฐิอุปโหลกสัมคัญไปเอง 360องศา ก็เริ่มจาก 0 เวียนบรรจบ จะกี่ลิ๊ปดาก็แค่ปลีกย่อย....สัมมาทิฎฐิ...
หัวข้อ: มีคนตั้งมากมายหลายชีวิตที่ดิ้นรนแสวงทางออกและทางที เริ่มหัวข้อโดย: ประวิต ที่ เมษายน 09, 2012, 09:39:02 PM วันนี้ทำงานเหนื่อยมากครับ ขอโทษเพื่อนร่วมทาง ที่เปิดอ่านในวันนี้ ขอโทษอีกทีครับ (ไม่มีอะไรจริงๆ)
หัวข้อ: มีคนตั้งมากมายหลายชีวิตที่ดิ้นรนแสวงทางออกและทางที เริ่มหัวข้อโดย: ประวิต ที่ เมษายน 11, 2012, 09:32:38 PM ไม่ต้องการจะได้อะไรหรอกครับ จากการแสดงความคิดเห็นทุกๆครั้งในเว็บไชด์นี้ แต่เราเป็นชาวพุทธที่ศึกษา และค้นข้วา และปฎิบัติธรรมในพุทธศาสนา 20 กว่าปีแล้ว เราก็ซาบซึ่งในพระมหาการุณา และพระเมตตา ในพุทธองค์ แต่เราก็ไม่อยากเห็น ศาสน์ที่เป็นประโยชน์ต่อสัตว์โลก ต้องกลายเป็นศาสน์ที่มีแต่ความยึดในทิฎฐิและในรูปแบปต่าง จนยากที่จะแยกแยะครับ ว่าอันไหนเหมาะหรือไม่เหมาะ ในการปฎิบัติ ตามแบบของผมแล้ว ในครั้งแรกผมเริ่มต้นที่ๆศัทธาตามหลักของประเพณี เชื่อว่าลูกผู้ชายนั้นต้องบวชให้พ่อแม่ก่อน ที่เราจะแต่งงานครับ (17ปีเริ่มเหมือนท่านMAN123ครับ) จากนั้นได้บวชแบบชาวบ้านๆทั่วไปแหละครับ...ครั้นบวชแล้วได้อ่านหนังสือ ของ ปุ่น จงขประเสิรฐิ์ เกิดศัทธาในแง่มุมต่างๆของชีวิตและสงสัย จึงตามศึกษาและเริ่มปฎิบัติเอาจริงเพื่อลองของตามกำลังศัทธาด้วยเหตุผล ผมไม่ทิ่งพระไตรปิฎก และคำสอนของอาจารย์ แต่ก็ไม่เชื่ออะไรง่ายๆเปรียบเทียบกันตลอดมา อนาปาณสติเป็นหลักสมาธิที่ถูกต้อง ปฎิจสมุปบาทเป็นหลักแห่งปัญญา สองสิ่งต้องสอดคล้องกันเป็นลำดับในหลักการปฎิบัติ รู้เหตุทั้งปวงเป็นเหตุเกิด และรู้เหตุทั้งปวงเป็นเหตุดับ (ปัญญา) แนวทางปฎิบัติจะไม่เอนเีอียง ใจเราจะมีปุจฉา วิฉัจสนา อยู่ตลอด นรกสวรรค์เรารู้เอง ถูกผิดเรารู้เอง อัตโนมัติ ทุกข์เพิ่ม หรือทุกข์ลด หรือทุกข์ดับ เราก็รู้ ไม่สามารถโกหกตัวเองได้ดอกครับ (ออกจากโลกได้โดยธรรม ก็ชงักงันโดยธรรม กว่าจะแจ้งก็ลืมตัวไปตั้งนาน).....สัมมาทิฎฐิ.....
หัวข้อ: มีคนตั้งมากมายหลายชีวิตที่ดิ้นรนแสวงทางออกและทางที เริ่มหัวข้อโดย: ประวิต ที่ เมษายน 20, 2012, 10:08:58 PM ออกจากโลกได้โดยธรรม ออกจากธรรมโดยธรรม เป็นเรื่องจริง แต่กว่าเราจะรู้ว่าหลุดออกมันก็ใช้เวลานานโขทีเดียว เมื่อมีชีวิตแบบมนุษย์โลกทั่วไป ทุกบุคลรวมถึงตัวเราด้วยและครับ ก็คิดแบบมนุษย์ทั่วๆไปตามสิ่งที่เราได้เรียนรู้ตามปรกติที่มนุษย์เกิดมา เรียนรู้ตามสภาพแววล้อม และเรียนรู้ตามคำบอกสอนต่างๆ จำ และคิดตามเสถียรสภาพ ซึ่งเป็นขบวนการของสมองและความรู้สึก ทีจะแปลเป็นความคิด (วิตก วิจารณ์) และมีความเชื่อตามความรู้สึกเหล่านั้นที่แวดล้อมนั้นแหละ และกลายเเป็นความเคยชินผูกพันตามแบบฉบับนั้นๆ ซึ่งเรียกว่าอุปาทาน ผูกพันโดยไม่รู้ตัว(อวิชา)บ่อเกิดแห่งเหตุทั้งปวง ความสับสนทั้งหลายก็เริ่มขึ้น ความปารถนาทั้งปวงก็จุดประกาย โดยแรงกระตุ้น มาจากพลังงานของธรรมชาติ ที่เป็นนธรรมชาติ) x+y ตามพลังงานของวงจรสนามแม่เเหล็ก ที่แปรเปลี่ยนและเปลี่ยนแปลงไปด้วยพลังงานทางความรู้สึกนึกคิดของสัตว์ ที่สมองมีการพัฒนาการตามจินตนาการ (ปฏิจสมุบาป)เพราะสิ่งนี้มีสิ่งนี้จึงมี .... หรือว่าอาศัยกันแล้วเกิดขึ้น (อิทัปปัจยตา) ถ้าท่านทั้งหลายแตกฉานแค่สองหัวข้อนี้ท่านก็จะไม่แปลกใจต่อ เรื่องนรก สวรรค์เลย และแนวทางปฏิบัติทั้งหลายเพื่อผ้นทุกข์ทั้งปวงด้วย ท่านจะเข้าใจว่าเชื่องช้า และเฉียบพลันนั้นมีจริงๆ......ขบวนการในการปฏิบัติธรรมนั้นที่สุดก็มุ่งหวังให้ใจนั้นเห็นตามสภาพความเป็นจริงว่าชีวิตมันคืออะไรและเป็นอะไรอย่างแท้จริง แล้วทำใจวางเฉยได้ นิ่งได้ (อุเบกขา)ที่สุดมันก็อยู่ตรงนั้น แต่คนเรา สมองปัญญาความคิดความรู้สึกต่างๆที่เรียนรู้และพัฒนาการต่างๆไม่เหมือนกัน มันจึงมีคำสอนตั้งมากมาย เพื่อหาทางออกให้กับชีวิตแต่ละบุคล ...แต่ในปัจจุบันทุกอย่างเปลี่ยนหมด ท่านทั้งหลายครับ...ปฏิจสมุปบาท...ท่านจงลองศึกษาอย่างแท้จริงเถิด....แล้วท่านจะเข้าใจใน อดีต อนาคต ปัจุบัน ในชีวิตของท่าน...แล้วท่านจะมองเห็นทางออกของชีวิตของท่านเองไม่ต้องถามใครๆให้งงดอกครับ เมื่อท่านแจ้งต่อปฏิจสมุบาทแล้ว เส้นทางที่ท่านจะไปหรือทางๆที่ท่านจะเดิน มันจะเป็นอัตโนมัติท่านจะไม่มีวันไข่วเขวดอกแม้จะมารกองใหญ่ขวางทาง........สัมมาทิฏฐิ........
หัวข้อ: มีคนตั้งมากมายหลายชีวิตที่ดิ้นรนแสวงทางออกและทางที เริ่มหัวข้อโดย: ประวิต ที่ เมษายน 23, 2012, 08:49:47 PM บ่เป็นหยั๋งดอก...สำหรับฅนว่างงานก็ต้องคิดมากเป็นธรรมดาปรกติ...ก็ต้องคิดๆๆๆๆๆๆ...ปรกติสำหรับฅนว่างงานครับ...ฅนมีงานทำ...ก็ต้องทำงาน ทำงานๆๆๆๆๆๆๆ...ไปจนกว่าจะเสร็จงานครับ...แม่นบ่...มันบ่ใช่เรื่องยากหรือง่ายดอก...มีทางให้เราเดินเราก็ต้องเดินตามทาง...เหนื่อยเราก็พัก หายเหนื่อยเราก็ไปต่อ ในขณะที่เดินผ่าน มองเห็นสิ่งรอบข้างผ่านหูผ่านตา ก็อย่าคิดไปวิตกวิจารณ์มันมาก ถึงวิตกวิจาณ์บ้างก็เก็บเอาสิ่ที่เป็นประโยชน์ไปเพื่อประโยนช์ของชีวิตเรา มันจะทำให้เราเข้าใจในชีวิตที่แท้จริงได้ และเกิดประโยนช์ต่อชีวิตที่แท้จริงๆของเรา ทางออกและทางรอด ก็ใกล้เข้ามา บางครั้งใช้ศ้พท์ของตำรามากมันก็เหมือนขี้โม้ ใช้ธรรมดาบ้างก็ดีนะ จะได้แปลง่ายๆหน่อย แม่นบ่ ในยามหลับก็ฝันไปเรื่อยๆ ตื่นเต้นบ้างไม่ตื่นเต้นบ้าง พอลืมตาตื่น ก็คิดต่อว่าฝันเรื่องนี้เป็นจริงบ้างหนอเรื่องนั้นไม่เป็นจิรงบ้างหนอ เอ๋าหลับก็ฝันตื่นมาก็ยังฝันต่ออีก ไม่รู้จะฝันไปถึงใหน คนเขียนก็บ้า คนเปิดอ่านก็บ้า มันก็บ้าพอๆกัน ( แต่เราก็ไม่รู้ตัวหรอกครับว่าบ้าอยู่ ) ฝันดีทุกท่านครับเพื่อนร่วมทาง.....สัมมาทิฎฐิ.....
หัวข้อ: มีคนตั้งมากมายหลายชีวิตที่ดิ้นรนแสวงทางออกและทางที เริ่มหัวข้อโดย: ประวิต ที่ เมษายน 25, 2012, 10:32:09 PM (ออกจาจโลกโดยธรรม) ( ออกจากธรรมโดยธรรม) สัจนี้ไม่มีวันเสื่อมคลาย และจะคงอยู่ตลอกาลนิรันท์ จะเกิดกี่ชาติที่เกิด จะปฎิบัติในสายใดอาจารยร์ใด จะรูปแบบไหนๆ ผลสุดท้ายก็ต้องพานพบสัจจะนี้( ถึงเวลาของดอกไม้บาน)....อันที่จริงและไม่จริง สำรับผู้เข้ามาใหม่ก็ต้องคิดๆมากเป็นพิเศษ และธรรมดา มันเขียนอะไรให้กูอ่านวะ อ่านแล้วงง(.แถมด่าคนเขียนอีกว่ามันบ้าหรือเปล่า)...หรืออวดอุตริมนุยษ์ธรรมหรือเปล่า...เปล่าดอกเพื่อนร่วมทางครับ...เหตุผลและมุมมองเป็นสิ่งที่เราแสดงกันได้ เพื่อเป็นสติ ก็แค่นั้น หรือเป็นดอกไม้ริมทาง หรือเป็นศาลาพักร้อนข้างถนน เท่านั้นแล จะเป็ยอะไรก็ช่างเถอะถ้าเรามองอย่างผู้มีบุญ หรือผู้มีปัญญา พอที่จะไปวัดไปวาได้บ้าง คำๆเดียว ของสิ่งเดียว แสงสว่างอันไม่มีที่สิ้นสุดก็เกิดขึ้นได้(ปัญญา) ทางๆนี้ที่เราแสวงหามันอยู่มันก็อยู่ใกล้เข้ามาเรื้อยๆ จงคิดดูเถิดท่านทั้งหลาย ถ้าเราปิดตัวเองเชื่ออย่างที่เราเชื่ออยู่ ความเชื่อนั้นแหละจะสร้างบันไดให้ท่านต้องเดินและต้องไต่มันขึ้นไปตามลำดับตั้งมากมายก่ายกอง โดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่าเมื่อใดจะสิ้นสุดหนอ ออกจากโลกโดยธรรมนั้นง่ายดาย.....แค่เป็นหนี้สินเราก็ปวดเฮดแล้ว ไม่สมความมุ่งหวังในชีวิติก็ทุกข์พอตายแล้ว ใหนจะไมค่อยสมปรารถนาในชีวิตอีก ปรารถนาสิ่งใดๆก็ไม่ค่อยสมปรารถนา ใครเจอก็กลุ้มใจเป็นบ้าแล้ว แล้วจะไม่แสวงหาทางออกได้ยังไง......ออกจากธรรมโดยธรรมซิเป็นเรื่องยาก....ความเชื่อนั้นมันทำลายกันยากจริงๆ ใครบ้างจะกล้ากระโดดลงไปในอ่างที่ๆมันไม่มีอะไร คิดแล้วใจหายครับ สิ่งที่เราถือปฎิบัตินั้นเป็นความมุ่งหวังของช๊วิต เป็นสิ่งที่จะชะโลมให้ใจเรานั้นอยู่ได้ และมีความหวังต่อไป แม้เราไม่รู้ว่าข้างหน้าเราจะเจอกับอะไรบ้าง ครับ ทุกชีวิตดิ้นรนหาทางออกใหกับชีวิตทั้งนั้นแหละครับ แค่เราหิวเราก็ต้องหาอาหารให้มันกิน แต่เราจะให้มันกินแบบไหนเล่าก็แค่นั้นเอง.....ถ้าท่านต้องการหาทางออก....ไม่่ยาก..แต่มันก็ไม่ใชเรื่องง่ายดอกครับ....คิดๆๆๆๆจนหนึ่งผุดแล้วหยุดคิด....แล้วจะมาชวนคิดกันอีกนะครับ ... เพื่อนร่วมทาง.....สัมมาทิฎฐิ.....
หัวข้อ: มีคนตั้งมากมายหลายชีวิตที่ดิ้นรนแสวงทางออกและทางที เริ่มหัวข้อโดย: ประวิต ที่ เมษายน 27, 2012, 09:52:16 PM ครับเป็นเรื่่องจริงในชีวิต...ที่มนุษย์เราทั้งหลาย.ทุกๆชีวิตต้องดิ้นรนหาทางออกให้กับชีวิตจริงๆ.ไม่ว่าจะมีชีวิตจะเป็นอยู่อย่างชาวโลก.หรือชาวธรรม.หรือชนชาติใดศาสนาใด.พุทธ.อิศลาม.ซิก.คริส.ฮินดู.และต่างๆ.ที่เป็นบุคลธรรมดา.และที่เป็นบุคลในฝ่ายธรรมต่างๆตามศาสนา.ุทกชีวิตต่างดิ้นรนเพื่อหาทางออกทางรอดพ้ินในชีวิตทั้งนั้น..รอดพ้นก็มี2ทาง...1ทางกายต่างๆ...2ทางใจต่างๆ...ไหนทางจะแสวงหาทรัพย์.หาเกีรยติ.หารถ.หาบ้าน.หาอะก็ไรตามที่ปรารถนาในความรู้สึกที่มีในขณะนั้นๆที่เรากำลังดำรงค์ชีวิตอยู่..ทางของสมหวังบ้างและทางที่ไม่สมหวังบ้าง..ทุกชีวิตต่างก็ดิ้นรนเหืมอนกัน..ใช่หรือเปล่าครับท่านทั้งหลาย...แม้แต่.สัตว์เดรฉาน.แม้แต่รูปของวิญญาณที่อยู่ตามภพต่างๆ...กามมาวจร..รูปาวจร...อรูปาวจร...เหมือนกันและครับ...ทุกชีวิตต้องดิ้นรนหาทางรอดทางออก...โลกกลมๆใบนี้ที่ลอยคว้างกลางอวกาศ..ใครเล่าที่สำคัญ..ใครเล่าที่เป็นจริง...และเหตุผลต่างๆใครเล่าที่เป็นจริง...ลองหลับตามโนภาพดูซิครับ..อดีต..อนาคต..ปัจุบัน..และอารมณ์ที่เราจินตนาการตามจิตสำนึกและความรู้สึกของเราที่ได้เรียนรู้มา..ที่เหนือกว่านั้นมันเป็นความเชื่อ..บางครั้งพิสูทธิ์ได(พุทธศาสนา)บางครั้งพิสูทธิ์ไม่ได้(เป็นไสยะ)และบ้างครั้งก็เป็นความเชื่อตามจินตนาการที่เชื่อว่าอย่างนั้นเป็นจริงและอย่างนั้นไม่เป็นจริง......ความรู้และความเข้าใจในลักษณะของที่ชีวิตเป็นอยู่อย่างแท้จริงตามธรรมชาติ...จะช่วยให้เราหายสงสัย...และคลายความวิตกกังวลลงได้ตามลำดับ...ตามสภาวะที่รู้อย่างแท้จริง...นั้นแหละครับเป็นทางออกที่แท้จริงของชีวิต...อนิจจัง...ทุกข์ขัง...อนัตตา...สูญญตา...ตถตา...อิทัปปัจจยตา....ภาษาบัญญัติเหล่านี้เป็นจริงตามธรรมชาติที่วิปัจสนาแลปุจฉา...มันวิถีแห่งเหตุผลที่เป็นนัยยะแห่งความคิดเห็นที่ถูกต้องที่จำเป็นมนุษย์ทุกบุคลต้องมี.....ยิ่งเกี่ยวเนื่องกับสภาวะของความเป็นอยู่ในชีวิตประจำวันของมนุษย์ทุกวันนี้....คนเราทุกวันนี้ต้องดิ้นรนเพื่อให้มีชีวิตรอดจากความที่ไม่มี...จากความเป็นด้อยต่าง...เพื่อให้เรามีอยู่...และมีกิน...ไม่เป็นด้อยกว่าใครๆ...แสวงหาความเป็นเลิศในสิ่งต่างๆ...สมปรารถนาก็ดีไป...ไม่สมปรารถนาก็ทุกข์ไป...มี่ความหวาดกลัวไปต่างนาๆ...หาทางออกด้วยวิธีการต่างนาๆ...ทางๆใหนเล่าที่จะสมปรารถนา....ความเข้าใจตามความเป็นจริงของธรรมชาติอย่างแท้จริง....แล้วทำใจให้ปลงซะ...ทางนี้...ทางเดียวเท่านั้นที่จะช่วยท่านรอดจากความหวาดกลัวและวิตกกังวลต่างๆนาๆได้...นัตถิสันติ ปรังสุขขัง...สุขอื่นยิ่งกว่าการปลงได้ทำใจได้..สงบ..นั้นไม่มี....สัมมาทิฎฐิ.....
หัวข้อ: มีคนตั้งมากมายหลายชีวิตที่ดิ้นรนแสวงทางออกและทางที เริ่มหัวข้อโดย: ประวิต ที่ เมษายน 28, 2012, 09:17:01 PM ความหวาดกลัวต่างๆ ความวิตกกังวลต่างๆ เป็นปัญหาหลักและเป็นปัญหาใหญ่สำหรับชีวิตมนุษย์ทุกวันนี้..จะมองหาทางออกในชีวิตแทบจะไม่มี..ทางออกตามแบบฉบับที่เป็นเหตุเป็นผลตามแบบของชาวโลกทั่วๆไปที่กระทำตามๆกันอยู่ในปัจจุบันนี้ แทบจะไม่มีทางออกหลงเหลืออยู่เลย...ยิ่งดิ้นมันก็ยิ้งมัดตรึงตราให้แน้นขึ้น กระวนกระวายมากขึ้นตามลำดับ..ต้องแสวงหาโชคด้วยความขลัง...ต้องแสวงหาทางปลดปล่อยด้วยกรรมวิธีต่างๆ...จึงเกิดเป็นรูปแบบต่างๆตามมาเพื่อความขลังและความศักดิ์สิทธิ์..ของกรรมวิธีต่างๆ ไม่เว้นแม้แต่พระพุทธศสนา...ร่วมด้วยและผู้คนหลงผิดทั้งหลายที่อาศัยศา่สนาทำมาหาเลี้ยงชีพ บ้างสร้างชื่อเสียง บ้างสร้างเพื่อประโยน์ส่วนตัวเพียงน้อยหนิดเพราะยังมีความคิดดีอยู่บ้าง...ผู้คนทั้งหลายจึงสับสนอลม่าน...ถกเถียงกันจนหาข้อยุติไม่ได้..พระราชดำริของพ่อหลวงเราคือความพอเพียงที่พร่ำสอนพสกนิกรใต้ฝ่าธุรีละอองพระบาทของพระองค์..เป็นสิ่งถูกต้อง...ถ้ารู้สึกหยุดได้ก็พอได้...โดยที่ไม่ต้องเข้าใจธรรมมะใดๆด้วยก็ได้...แค่นี้โลกก็เป็นสุข...ชีวิตของเราก็อยู่เป็นสุขได้ตามปรกติของมัน...ศีลเราก็ไม่ต้องปฎิบัติมันก็เป็นเองโดยธรรมชาติ...ความเบียดเบียนทางกายวาใจก็ไม่มีโดยอัตโนมัติ...ความเดือดร้อนต่างๆก็ไม่ตามมา...มุมมองที่เข้าใจในชีวิตตามธรรมชาติอย่างแท้จริง จะทำให้เราเข้าใจในพระราชดำริได้...ความรู้สึกที่ต้องดิ้นรนด้วยแรงแห่งกระแสโลกก็จะทุเลาเบาบางลง..ความสงบที่เกิดจากการที่รู้จักพอก็บังเกิดขึ้น...เป็นความสุขที่แท้จริงของชีวิตแบบมนุษย์โลกแท้จริง...ถ้าต้องการจะสุขมากกว่านี้ต้องเดินตามทางธรรมล้วนๆ..นั้นคือปลงได้ ละได้ ตัดได้ และเสพความวิเวกจนกว่าจะมีตะบะที่มั่นคง...ครับท่านทั้งหลาย คนเรานั้นไม่มีอะไรมากหรอกครับ จริงๆนะครับ..ไม่ว่าท่านจะอยู่ในทางๆใด..ที่ๆใด...มุมมองในชีวติที่เข้าใจอย่างถ่องแท้ จะช่วยให้ท่านนั้น...เดินตามทางแห่งชีวิตและกระทำไปตามปรกติ...เหนื่อยท่านก็พัก...หานเหนื่อยท่านก็เดินต่อทำต่อ...มันก็มีเท่านี้แหละครับ...จนกว่าสังขารนี้จะแตกสลายตามธรรมชิาต...ถ้าแรงของความสำคัญมั่นหมายในความรู้สึกยังไม่หมด และใจยังไม่นิ่งพอ...เราก็ต้องเสวยวิบากกรรมต่อไป...อย่าไปคิดอะไรมากครับ(สำหรับท่านที่ศึกษาในทางๆนี้ทำให้แจ้งต่อปจิสจะมุปบาทให้มาก...สำหรับท่านที่ยังสงสัยในกลไกลของชีวิตก็ทำให้แจ้งกระบวนการปฎิจะสมุบาปต่อไป ..แล้วเราจะเข้าใจในชีวิตที่แท้จริง..ที่เป็นอิทัปปัจจยตา.และตถตา....สัมมาทิฎฐิ....
หัวข้อ: มีคนตั้งมากมายหลายชีวิตที่ดิ้นรนแสวงทางออกและทางที เริ่มหัวข้อโดย: ประวิต ที่ เมษายน 30, 2012, 09:43:31 PM เขียนเรื่องหนักหัวสมองมากก็น่าเบื่อสำหรับสังคมมนุษย์ทุกวันนี้....พูดกับเด็กบ้างวัยรุ่นบ้าง แม้แต่ผู้มีอายุก็เหอะ พูดถึงวัดเขาก็เบื่อวัดเบื่อศาสนากันเต็มทน แถมเขาถกเราอีก เขามองว่าการปฎิบัติธรรมนั้นต้องเข้าวัด ถือศีล นุ่งขาวห่มขาว มันช่างไม่สอดคล้องกับโลกที่กำลังวิวัฒนาการเลย ทุกตนก็เบื่อพูดคุยเรื่องธรรมมะกันหมดเลย ครั้นชาวธรรมพอพูดคุยก็ถกเถียงกันเรื่องแนวทางของการปฎิบัติ ทางของเธอถูก ทางของฉันผิด ทางของเธอไม่เคร่งทางของฉันเคร่งกว่า ทุกวันนี้ทางของโลกกับทางของธรรมแทบจะไปด้วยกันไม่ได้เลย ต้องแยกทางกันเดิน พอพูดถึงเรื่องโลก ก็ต้องพูดว่า สาวคนไหนสวย หนังเรื่องไหนดี ดาราคนไหนหน้ารัก รถคันไหนดีกว่ากัน บ้านหลังไหนจะหะหรูหะหรามากกว่ากัน หรือโทรศัพท์เครื่องไหนจะใช้3Gไวไฟ มีไวเล็ท แต่มันก็เป็นเรื่องปรกติของชาวโลกนะครับ แต่ชาวธรรมซิก็เป็นเอากับเขาด้วย พอคุยเรื่องธรรมก็แบ่งครูบาอาจารย์กันแล้ว โดยที่ไม่ใคร่ครวญ พอบอกทางบุญก้อ้างแต่สวรรค์.....โลกเปลี่ยน วันเวลาเปลี่ยน คำแปลก็เปลี่ยน ใจคนเราก็เปลี่ยนไปตามสถานะภาพแวดล้อม...ทางคู่ขนานของธรรมกับโลกที่ไปกันได้ ทำไมไม่ใช้ธรรมมะแบบมุมมอง (การที่เราเข้าใจอย่างแท้จริงในชีวิตตามธรรมชาติ แม้จะไม่รู้ธรรมมะเลย มันก็คือธรรมที่แท้จริง ) จะมีชีวิตอยู่อย่างไร สถานภาพแบบไหน การงานอย่างไรก็ใช้ได้ ถ้าธรรมมะเป็นอย่างนี้มันคงไม่หน้าเบื่อ เด็กก็ทำผู้ใหญ่ก็ปฎิบัติ ไม่ต้องคิดว่าพอพูดถึงเรื่องธรรมมะต้องแบ่งออกเป็นสองทางเดิน หรือปฎิบัติธรรม ตามแนวทางอาจารย์สอนแล้วมันขัดต่อหลักการในชีวิตของการทำงาน มัวแต่กำหนด สมองก็ไม่แล่นในสายงาน เจ้านายก็บ่นว่าปึก เพราะเอาแต่กำหนด ถ้าไม่กำหนดมันก็ลืมจริงมัยครับ ถ้าเรามีสติในกายยาววาหนาคืบอยู่ กำหนดอยู่กับสิ่งที่เราสำผัสในปัจุบัน สมองของท่านก็จะไม่ทำงานในงาน มันจะทึนทึกอยู่อย่างนั้น หรืทำมากๆท่านก็จะอยากออกบวชซะเป็นงั้นไป ไม่สอดคล้องกับโลกใบใหม่ของคนสู้ชีวิตเลย ทำงานไปด้วย ปฏิบัติธรรมไปด้วย แค่ถนอมในมุมมอง สมองก็แล่นในงาน เพราะงานมันก็เป็นธรรมชาติชนิดหนึ่งของกฎกติกาในสมมุติฐานทั้งปวง ใช้สมองคิดๆๆๆๆในงาน แต่เราก็สามรถหยุดมันได้ โดยที่มีมุมมองที่รู้จริง มันจะไม่เป็นประโยน์ในชีวิตมากกว่าหรือครับท่าน แค่ทำความเข้าใจให้แจ่มแจ้งในชีวิตที่แท้จริงเหอะ ทางออกทั้งหลายท่านก็จะเจอมันแล้ว ไม่ต้องฆ่ากันแค่ผัวบอกเลิกเมียๆบอกเลิกผัว ไม่ต้องทำร้ายตัวเองโดยการฆ่าตัวตาย ไม่ต้องเสียใจเมื่อเงินเดือนไม่ขึ้น ตำแหน่งไม่เจริญก้าวหน้า ทุกอย่างจะหยุดได้เพียงแค่มุมมองที่เปลี่ยนไป ในการที่เราเข้าใจในชีวิตที่แท้จริงอยางซาบซึ่่งตามธรรมชาติ...ด้วยวงจรของปฎิจสมุปบาท...ธรรมจะคู่ขนานกับโลก..ทุกอย่างจะไม่หน้าเบื่อ และแล่นไปบนเส้นทางๆแห่งชีวิตได้โดยสวัสดี....เหนื่อยเราก็พัก...หายเหนื่อยเราก็เดินต่อ....สัมมาทิฎฐิ....
หัวข้อ: มีคนตั้งมากมายหลายชีวิตที่ดิ้นรนแสวงทางออกและทางที เริ่มหัวข้อโดย: ประวิต ที่ พฤษภาคม 03, 2012, 10:05:14 PM ชีวิตคืออะไร ชีวิตเกิดจากอะไร ชีวิตจะสิ้นสุดลงได้อย่างไร เป็นคำถามที่ๆทุกบุคลล้วนต้องสงสัยและขบคิดเพื่อหาข้อยุติจะได้หายสงสัยเสียที ชีวิตบนความหมายยากยิ่งจะหาคำตอบ นิวเครี๊ยดที่เล็กๆพัฒนาจนเป็นสิ่งใหญ่ๆ มีอวัยวะ และสัญชาติญาณ จนตอบไม่ได้ว่าบนโลกกลมๆที่ลอยคว้างกลางอวกาศนภา มีสิ่งที่มีชีวิตอันที่ประหลาดสุดๆ เต็มไปด้วยความสงสัย และความเชื่อต่าง จนยากที่จะพิสูทธิ์ และปักใจเชื่อ ไหนจะสวรรค์ ไหนจะนรก ไหนจะนิพพาน แม้แต่คำสอนของพุทธองค์ที่มีมาในไตรปิฎก ก็ได้แต่อ่านและแปลตามทิฎฐิแห่งตน วงจรแห่งปจฎิสมุปบาท ไม่มีอดีตที่ห่างไกลโพ้น และอนาคตที่คาดไม่ถึงจนยาวไกล เข้าใจในปฎิจสมุปบาทในปัจจุบัน อดีตเราไม่ต้องถาม อนาคตก็ไม่ต้องตอบ ทุกอย่างจะแจ่มแจ้งในคำตอบที่เราเข้าใจอย่างไม่มีสงสัย และหายเคลือบแคลงระแวงสงสัยในชีวิตทันที ถ้ายังไม่หายสงสัยและยังไม่มั่นใจพอในสิ่งที่รู้ นั้นคือยังไม่เข้าใจอย่างแจ่มแจ้งพอ..... แล้วท่านจะเข้าใจเอง ในทุกข์ เหตุเกิดทุกข์ และเหตุดับทุกข์ และหนทางที่กระทำเพื่อให้พ้นทุกข์ ความไม่เข้าใจหรือความไม่รู้แจ้งเห็นจริงในธรรมชาติเดิมแท้แห่งชีวิตเป็นอวิชาอย่างแท้จริง ในวันนี้ขณะคิดก้าวย่าง เป็นปัจจุบัน เมื่อย่างก้าวผ่านแล้วเป็นอดีต ขณะที่จะคิดก็เป็นอนาคตแล้ว แค่แว้บเดียวแห่งครรลองลองของความคิดก็ผูกบ่วงโซ่แห่งวัฎฎะซะแล้ว ใยต้องถามถึงอดีตอันไกลโพ้นที่ยากที่จะย้อนกลับไปหาเพื่อถามไถ่ เล่า........... "ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลเมื่อไม่รู้ไม่เห็นจักษุตามความเป็นจริง เมื่อไม่รู้ไม่เห็นรูป จักษุวิญญาณ.จักษุสัมผัสตามความเป็นจริง เมื่อไม่รู้ไม่เห็นความเสวยอารมณ์เป็นสุขก็ตาม เป็นทุกข์ก็ตาม มิใช่ทุกข์มิใช่สุขก็ตาม ที่เกิดขึ้นเพราะจักษุสัมผัสเป็นปัจจัยตามความจริง ย่อมกำหนัดในจักษุ กำหนัดในรูป กำหนัดในจักษุวิญญาณ กำหนัดในจักษุสัมผัส กำหนัดในความเสวยอารมณ์เป็นสุข
ก็ตาม เป็นทุกข์ก็ตาม มิใช่ทุกข์มิใช่สุขก็ตามที่เกิดขึ้นเพราะจักษุสัมผัสเป็นปัจจัย เมื่อบุคคลนั้นกำหนัดนักแล้วประกอบพร้อมแล้ว ลุ่มหลง เล็งเห็นคุณอยู่ย่อมมีอุปทานขันธ์ ๕ ถึงความพอกพูนต่อไป และเขาจะมีตัณหาที่นำไปสู่ภพใหม่ สหรคตด้วยความกำหนัด ด้วยอำนาจความยินดี อันมีความเพลิดเพลินในอารมณ์นั้นๆ เจริญทั่ว จะมีความกระวนกระวายแม้ทางกาย แม้ทางใจเจริญทั่ว เขาย่อมเสวยทุกข์ทางกายบ้าง ทุกข์ทางใจบ้าง ฯ" .......สัมมาทิฎฐิ...... หัวข้อ: มีคนตั้งมากมายหลายชีวิตที่ดิ้นรนแสวงทางออกและทางที เริ่มหัวข้อโดย: ประวิต ที่ พฤษภาคม 04, 2012, 09:37:56 PM กราบขออภัยท่านทั้งหลายที่รบกวนท่านโดยกระทู้ธรรมต่างๆ กระผมก็เพียงแค่หวังในทางโพธิสัตว์ธรรมก็เท่านั้น ไม่มีเจตนาอื่นใดดอก 10กระทู้ที่เขียน กับ 1 คนที่เข้าใจ ก็เป็นบุญของกระผมแล้ว..........จิตหนึ่งนี้เท่านั้นที่เป็นพุทธ.....ไม่มีแตกต่างระหว่างพุทธะกับสัตว์โลกทั้งหลาย เพียงแต่สัตว์โลกทั้งหลายไปยึดมั่นต่อรูปธรรมต่างๆเสีย และเพราะเหตุนั้น เขาจึงแสวงหาพุทธภาวะจากภายนอก การแสวงหาของสัตว์เหล่านั้นนั่นเองทำให้เขาพลาดจากพุทธภาวะ การทำเช่นนั้นเท่ากับการใช้สื่งที่เป็นพุทธะให้เที่ยวแสวงหาพุทธะ และการใช้จิตให้เที่ยวจับฉวยจิต แม้ว่าเขาเหล่านั้นจะได้พยายามจนสุดความสามารถของเขาอยู่ตั้งกัปหนึ่งเต็มๆ เขาก็จะไม่สามารถลุถึงพุทธภาวะนั้นได้เลย เขาไม่รู้ว่า ถ้าเขาเองเพียงแต่หยุดความคิดปรุงแต่ง และหมดความกระวนกระวายเพราะการแสวงหาเสียเท่านั้น พุทธะก็จะปรากฎตรงหน้าเขา เพราะว่าจิตนี้คือพุทธะนั้นเอง และพุทธะก็คือสิ่งมีชีวิตทั้งหลายทั้งปวงนั่นเอง สิ่งสิ่งนี้เมื้อปรากฎกอยู่ที่สามัญสัตว์ จะเป็นสิ่งเล็กน้อยก็หาไม่ และเมื่อปรากฎอยู่ที่พระพุทธะเจ้าทั้งหลายจะเป็นสิ่งใหญ่หลวงก็หาไม่ สำหรับการบำเพ็ญปารมิตาทั้งหกก็ดี การบำเพ็ญข้อวัตรปฎิบัติคล้ายๆกันอีกเป็นจำนวนมากก็ดี หรือการได้บุญมากมายนับไม่ถ้วนเหมือนจำนวนเม็ดทรายในแม่นำ้ำคงคาก็ดีเหล่านี้นั้น จงคิดดูเถิด เมื่อเราเป็นผู้สมบูรณ์โดยสัจจะพื้นฐานในทุกๆกรณีอยู่แล้ว คือเป็นจิตหนึ่ง หรือเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับพุทธะทั้งหลายอยู่แล้ว เราก็ไม่ควรพยามจะเพิ่มเติมอะไรได้แก่สิ่งที่สมบูรณ์อยู่แล้วนั้นด้วยการบำเพ็ญวัตรปฏิบัติต่างๆซึงไร้ความหมายเหล่านั้นไม่ใช่หรือ เมื่อไรโอกาศอำนวยให้ทำก็ทำมันไป และเมื่อโอกาสผ่านไปแล้ว อยู่เฉยๆก็แล้วกัน
ถ้าเรายังไม่เห็นตระหนักอย่างเด็ดขาดลงไปว่า จิตนั้นคือพุทธก็ดี และถ้าเรายังยึดมั่นถือมั่นในรูปธรรมต่างๆก็ดี แนวความคิดของเราก็ยังคงผิดพลาดอยู่ และไม่เข้าร่องเข้ารอยกันกับทางโน้นเสียเลย จิตหนึ่งเท่านั้นที่เป็นพุทธะ ดังคำตรัสที่ว่า ผู้ใดเห็นจิต ผู้นั้นเห็นเรา ผู้ใดเห็นปฎิจจสมุปบาท ผู้นั้นเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต...........ที่มา-หนังสือจิตคือพุทธะและมรรคปฎิปทา...เรียบเรียงโดย พระราชวุฒาจารย์ (หลวงปู่ดูลย์ อตุโล ).....วัดบูรพาราม.................สัมมาทิฎฐิ......... หัวข้อ: มีคนตั้งมากมายหลายชีวิตที่ดิ้นรนแสวงทางออกและทางที เริ่มหัวข้อโดย: ประวิต ที่ พฤษภาคม 10, 2012, 09:25:35 PM กระผมก็เป็นคนๆหนึ่งที่มีความเห็นสอดคล้องกับหนังสือธรรมมะของหลวงปู่ดูลย์ อตุโล หลายเล่มด้วยกัน รวมกระทั้งหนังสือของหลวงปู่พุทธทาสภิกขุหลายเล่ม เฉลี่ย90% ทุกกรณี แต่บางอย่างก็ขัดกันในความคิดเห็น ที่แปลเป็นคำพูด ไม่ขอโต้แย้งเพราะเรายังเป็นเด็กมีอายุยังน้อย แต้ก็ต้องโต้แย้งในใจตามประสาของเด็กๆ ความแจ่มชัดในคำอธิบายหลักธรรม พระสุปฎิปัณโนทั้งสองท่านอธิบายได้ช่างแจ่มแจ้งนัก ไม่ว่าหลักจิตหนึ่งเท่านั้นที่เป็นพุทธะ และหลักแห่งปฎิจจสมุปบาท รวมกระทั้งอานาปาณนสติหลักแห่งการปฎิบัติสมาธิว่าด้วยการกำหนดลมหายใจ ทั้งสองบูรพาจารย์นี้มีหลักปฎิบัติที่ชัดเจน และให้ผลได้ตามสมควรแก่การปฎิบัติ กระผมปฎิบัติตามสองบูรพาจารย์นี้มายี่สิบสี่ปีกว่าๆ ไม่ว่าจะขั้นอุกกฤษ หรือแบบใช้ชีวิตตามธรรมดา รู้สึกพอใจในคำสอนและคำแปลต่างๆในบทธรรมมะของท่าน แต่กระผมก็ไม่ได้อะไรมากดอก ที่ได้มากสุดก็แค่...เดินตามรอยพ่อ เป็นอยู่อย่างพอเพียง...เป็นอยู่อย่างที่เราควรจะเป็น...สงบได้ตามกำลังแห่งสติและตะบะ คำสอนสองบูรพาจารย์ทั้งสองท่านนี้ เป็นคำสอนที่มีประโยชน์ ใครที่สนใจศึกษาแล้วนำไปปฎิบัติ ก็อาจไปถึงฝั่งฝันได้ ตามสมควรแก่กำลังแห่งตน ทางออกแห่งชีวิตที่เราดิ้นรนแสวงหาก็คงจะกระจ่างขึ้นตามลำดับ.....สัมมาทิฎฐิ.....
หัวข้อ: มีคนตั้งมากมายหลายชีวิตที่ดิ้นรนแสวงทางออกและทางที เริ่มหัวข้อโดย: ประวิต ที่ พฤษภาคม 11, 2012, 07:35:41 PM สิ่งทีมีรสขม ย่อมถูกใช้เป็นยาดี
สิ่งที่ฟังแล้วไม่ไพเราะหู นั้นคือคำตักเตือนอันจริงใจของผู้เตือนที่แท้จริง จากการแก้ไขความผิดให้กลับเป็นถูก เราย่อมได้รับสติปัญญา โดยการต่อสู้เพื่อรักษาความผิดของตัวเองเอาไว้ เราย่อมแสดงนิมิตหมายแห่งความมีจิตผิดปรกติออกมา ผู้ปฎิบัติเพื่อกุศลอันสูงสุด จะไม่หมิ่นผู้อื่น ในทุกๆโอกาศที่เขาปฎิบัติอยู่ ไม่ทำลายทางแห่งตนที่กำลังเดินอยู่ ผู้นั้นย่อมใช้สิ่งที่มีรสขม เป็นยาดีอย่างถูกต้อง........สัมมาทิฎฐิ.... หัวข้อ: มีคนตั้งมากมายหลายชีวิตที่ดิ้นรนแสวงทางออกและทางที เริ่มหัวข้อโดย: ประวิต ที่ พฤษภาคม 16, 2012, 08:43:49 PM สิ่งทีมีรสขม ย่อมถูกใช้เป็นยาดี
สิ่งที่ฟังแล้วไม่ไพเราะหู นั้นคือคำตักเตือนอันจริงใจของผู้เตือนที่แท้จริง จากการแก้ไขความผิดให้กลับเป็นถูก เราย่อมได้รับสติปัญญา โดยการต่อสู้เพื่อรักษาความผิดของตัวเองเอาไว้ เราย่อมแสดงนิมิตหมายแห่งความมีจิตผิดปรกติออกมา ผู้ปฎิบัติเพื่อกุศลอันสูงสุด จะไม่หมิ่นผู้อื่น ในทุกๆโอกาศที่เขาปฎิบัติอยู่ ไม่ทำลายทางแห่งตนที่กำลังเดินอยู่ ผู้นั้นย่อมใช้สิ่งที่มีรสขม เป็นยาดีอย่างถูกต้อง........สัมมาทิฎฐิ.... หัวข้อ: มีคนตั้งมากมายหลายชีวิตที่ดิ้นรนแสวงทางออกและทางที เริ่มหัวข้อโดย: ประวิต ที่ พฤษภาคม 18, 2012, 09:09:16 PM ทางๆที่บุคลทั้งหลายดิ้นรนแสวงหาทางออกและทางรอดพ้นแห่งชีวิต .... ก็เขียนตามหลักการแห่งธรรมมาตามสมควรก็มากพอแล้วแห่งกาล บทความที่เขียนนั้นอาจเป็นภาษาที่ใช่ในชีวิตปัจจุบัน ไม่เกี่ยวกับบทความแห่งภาษาของพระไตรปิฎก ( อย่าพึ่งถกในความคิดนะครับ ) จะมีบ้างก็เป็นบางส่วนเท่านั้น ).......ผู้ที่อ่านแล้ว....และแปลในความหมาย ก็อย่าพึงคิดเอาเองนะจ๋ะ ... จะรับฟังหรือไม่รับฟังก็เป็นสิทธิ์ของท่าน จะพิารณาหรือไม่พิจารณาก็แล้วแต่ท่านนะครับ.... ความเชื่อว่าทั่้งหลายว่่่่าเป็นเช่นไร หรือไม่มีความเชื่อว่าเป็นเช่นไร มันเป็นสิทธิ์ของท่านครับ....(ความฝังใจเช่นๆนั้นมันมีมาแต่นมนานกาเล จะเปลี่ยนหรือจะลืมนั้นมันคงทำได้ยากครับ ) อยากเขียนต่อ แต่ตรองแล้ว..... ที่เขียนมาแล้วนั่นมันก็มากพอแก่การใคร่ครวญแล้วนะครับ ถ้าเราไม่ใส่ใจก็ปล่อยให้มันเลยตามเลยก็แล้วกัน เห็นก็สักแต่ว่าเห็น ได้ยิน ได้ฟัง ได้อ่าน ก็สักแต่ว่าก็แล้วกัน ผู้เขียนไม่ได้หวังอะไรในสิ่งที่เขียน ก็เพียงเขียนไปตามในสิ่งที่อยากเขียน ผู้อ่านก็ควรไตร่ตรองเอาเองนะ .... มีไม่มีประโยนช์ก็แล้วแต่ท่านนะครับท่านผู้อ่าน......( ทางๆนั้นมีอยู่เสมอ ) (ทางออกที่ทำให้เรารอดพ้นจากความสับสนทั้งหลาย ) ...(มันเป็นเพียงแค่รู้หรือไม่รู้ก็เท่านั้นเอง )....สิ้นสุดแห่งทางรอดพ้น ..จบ.. สัมมาทิฎฐิ.....
หัวข้อ: มีคนตั้งมากมายหลายชีวิตที่ดิ้นรนแสวงทางออกและทางที เริ่มหัวข้อโดย: ประวิต ที่ พฤศจิกายน 27, 2012, 08:15:08 PM วิทยาลัยชีวิต111111 |