หัวข้อ: เปลี่ยนวิธีคิด ชีวิตเปลี่ยน (ท่านว.วชิรเมธี) เริ่มหัวข้อโดย: เด็กหน้าวัด ที่ กันยายน 16, 2010, 02:50:00 PM เปลี่ยนวิธีคิด ชีวิตเปลี่ยน (ท่านว.วชิรเมธี) เราตั้งเข็มทิศความคิดอย่างไร ชีวิตของเราจะเดินอย่างนั้น ถ้าเราคิดผิด ทั้งชีวิตผิดหมด ถ้าเราคิดถูก ทั้งชีวิตถูกหมด ชีวิตของเรานั้นจะรุ่งโรจน์หรือร่วงโรยตัดสินกันที่ความคิด พระพุทธเจ้าของเราก็เช่นเดียวกัน หลังจากเสด็จออกผนวชทรงใช้เวลาถึง 6 ปี ในการแสวงหาวิธีการที่จะตรัสรู้ พระองค์คิดผิดไปทดลองสารพัดวิธีการ ทดลองเรื่องโน้น ทดลองเรื่องนี้ เป็นเวลา 6 ปีที่เกือบตาย สุดท้ายบำเพ็ญทุกรกิริยา อดพระกระยาหาร กลั้นลมหายใจเกือบเอาชีวิตไม่รอด ครั้นอยู่มาวันหนึ่ง พระองค์ได้นั่งถามตัวเองว่าที่ทำมาทั้งหมดไม่น่าจะถูก ทรงย้อนนึกถึงประสบการณ์เก่าๆ ของพระองค์ตอนที่มีพระชนมายุได้ 7 พรรษา ขณะที่เสด็จพ่อเสด็จเป็นประธานในพิธีแรกนาขวัญ เจ้าชายน้อยของเราไปนั่งอยู่ที่ใต้ต้นหว้า แล้วด้วยความที่ไม่มีใครสนใจ ผู้ใหญ่ก็ไปดูพิธีแรกนาขวัญกันหมด เจ้าชายน้อยก็นับลมหายใจเล่นๆ จิตสงบมาก จากบัดนั้นมาจนถึงพระชนมายุ 35 พรรษา พระองค์ก็ถามตัวเองว่า ที่ฉันทดลองมาตั้ง 6 ปีนี่ บางทีคงจะผิด แล้วทางที่ถูกมันคืออะไร ก็หลับพระเนตรนึกถึงประสบการณ์ตอนทรงพระเยาว์ ทรงมองเห็นพระองค์ทรงนั่งนับลมหายใจเล่นๆ แล้วมีความสุขมาก จึงทรงเปลี่ยนความคิดว่าบางทีการนั่งดูลมหายใจอาจจะเป็นหนทางที่ถูก เย็นวันนั้นทรงสรงสนานที่แม่น้ำเนรัญชรา ประทับนั่งใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ กำหนดสติไว้ที่ลมหายใจ ไม่ถึง 5 ชั่วโมง พอประทับนั่งจิตนิ่งสงบ ก่อนรุ่งสางของวันนั้นเองก็บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นไหมว่าถ้าเราคิดถูก เวลาแค่ 1 หรือ 2 ชั่วโมง หรือเวลาแค่พริบตาเดียวเท่านั้น เปลี่ยนชีวิตของคนทั้งคน เช่นเดียวกันกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา ทันทีที่คิดว่าการดูลมหายใจน่าจะถูก วินาทีเดียวที่เปลี่ยนความคิด พระองค์ก็เปลี่ยนแปลงตัวเองจากปุถุชนเป็นอารยชนเป็นสัมมาสัมพุทธะ พอเป็นสัมมาสัมพุทธะ เสด็จพระราชดำเนินเผยแผ่พุทธศาสนาไปทั่วอินเดีย และบัดนี้ศาสนาของพระองค์กลายเป็นศาสนาสากลของโลกไปแล้ว คนคนหนึ่งเปลี่ยนแปลงวิธีคิดของตัวเองจนสามารถเปลี่ยนแปลงโลกได้ ในทำนองกลับกัน ถ้าคนคนหนึ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลงวิธีคิดของตัวเอง ก็สามารถทำให้โลกทั้งโลกล่มสลายได้เช่นกัน ในทางยุทธศาสตร์ทุกคนก็คงจะเคยเรียนประวัติศาสตร์มา ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 มีแม่ทัพใหญ่ๆ ของฝ่ายสัมพันธมิตรหลายคน หนึ่งในนั้นก็คือ เซอร์วินสตัน เชอร์ชิลล์ ทันทีที่วางยุทธศาสตร์ว่าจะยกพลขึ้นบกที่นอร์มังดีเสร็จแล้ว ท่านไปไหน ว่ากันว่าท่านเข้ากระโจมที่พักเลย เอานวนิยายของเชกสเปียร์ขึ้นมาอ่าน มีคนไปเห็นก็ถามว่าท่านนายพลเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานท่านอ่านเชกสเปียร์อีกหรือ นายพลบอกว่า สิ่งที่ควรทำผมทำเสร็จไปแล้ว และวันรุ่งขึ้นท่านก็รอฟังผลแห่งชัยชนะของกองทัพสัมพันธมิตร เห็นไหมว่าคนคนหนึ่งถ้าคิดถูกแล้ว อะไรมันจะเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้ วันมะรืน หรือวันข้างหน้า ก็สามารถคาดคะเนได้ถูกต้องแม่นยำ ฉะนั้น ความคิดถูกจึงเป็นปัจจัยสำคัญของการประสบความสำเร็จในชีวิตของคน เช่นเดียวกันย้อนไปอีกประวัติศาสตร์สมัยสามก๊ก ช่วงที่เล่าปี่ระหกระเหินออกจากบ้าน ทำอะไรก็ไม่ประสบความสำเร็จ ช่วงแรกของการออกจากบ้าน ใช้แซ่ลี้ตลอด จริงๆ ท่านแซ่เล่านะ เล่าปี่ แต่ขณะที่ยังไม่ได้เจอขงเบ้ง ท่านใช้แซ่ลี้มาหลายสิบปี จนอายุ 40 กว่า พอมาเจอขงเบ้ง ตอนนั้นขงเบ้งอายุแค่ 26 ออกจากเขาโงลังกั๋งเพื่อไปวางยุทธศาสตร์สามก๊กให้ตามที่เล่าปี่ไปเชิญมา ศึกแรกที่ขงเบ้งวางยุทธศาสตร์ให้กับเล่าปี่ คือ ใช้กวนอู เตียวหุย จูล่ง ไปรับศึกใหญ่ทั้งหมด เล่าปี่หันมาถามขงเบ้งว่าแล้วตัวท่านกุนซือจะทำอะไร ขงเบ้ง บอก ผมจะอยู่ที่กองบัญชาการทำหน้าที่เป็นแม่งานจัดงานเลี้ยงคืนนี้ กวนอูและเตียวหุยโกรธมาก วางแผนให้คนอื่นไปรบ ยังไม่รบชนะเลย และการรบยังไม่เกิดขึ้น กุนซือเตรียมจัดงานเลี้ยง แต่เล่าปี่ก็เชื่อใจขงเบ้ง ทันทีที่ออกรบ ขงเบ้งก็ใช้ยุทธศาสตร์ของซุนวู ในการรบเอาชัยไม่สำคัญที่ปริมาณทหาร แต่สำคัญที่ใครเป็นผู้กำหนดยุทธศาสตร์ ฉะนั้น ขงเบ้งเห็นชัยชนะก่อนที่จะส่งทหารไปรบ และศึกครั้งนั้นก็ทำให้เล่าปี่ชนะด้วยการทลายทัพของโจโฉที่เนินพกบ๋อง นี่คือตัวอย่างทั้งทางโลกและทางธรรม ที่สะท้อนให้เห็นว่า ถ้าใครก็ตามมีวิธีคิดที่ถูกต้อง จะเป็นผู้ประสบชัยชนะในที่ทุกสถานในกาลทุกเมื่อ (http://www.thammaonline.com/index.php) |