หัวข้อ: หัวใจของบัณฑิต เริ่มหัวข้อโดย: เด็กหน้าวัด ที่ สิงหาคม 31, 2010, 01:30:42 PM หัวใจของบัณฑิต หัว..ใจของบัณฑิต มีอยู่ ๔ อย่าง สุ. จิ. ปุ. ลิ. สุ. คือสุตะ ฟัง จิ. คือจินตะ คิด ปุ. คือปุจฉา ถาม ลิ. คือลิขิต เขียน ผู้ที่เว้นจาก สุ. จิ. ปุ. ลิ. แล้วจะเป็นบัณฑิตได้อย่างไร เพราะ อยากจะเป็นบัณฑิต ต้องฟังให้มาก ๆ ฟังให้เข้าใจ ฟังแล้วก็ต้องคิด ทบทวน หาเหตุผล ทำไมจึงเป็นอย่างนี้ ต้องได้เหตุได้ผล อย่าเชื่อ ทันที ต้องทบทวนดูเหตุผลเสียก่อน ถ้ายังไม่ได้เหตุผล ก็ถามผู้รู้ว่า มันยังไงกันแน่ อะไรอย่างนี้ ถามแล้วกลัวจะลืม ก็เอามา เขียนไว้ บันทึกไว้ เผื่อทีหลัง จะได้นำมาอ่านได้ ถ้าทำอย่างนี้เป็นบัณฑิตได้ และ..อีกอย่างหนึ่ง คำว่า " ศึกษา " เราชอบใช้พูดกันทั่ว ๆ ไป คำว่าศึกษา ไม่ใช้คำว่าเรียน คำว่าฟัง แต่คำว่าศึกษา หลักฐาน ดั้งเดิมของท่าน ไม่ใช่เรียนหนังสือนะ หรือเรียนตำรา ศึกษาว่า ขณะ เห็น นี้ศึกษาหรือเปล่า ศึกษาธรรมขณะ เห็น นี่นะ ทางตาก็มีธรรม ทางหู ทางจมูก....ทางใจ ทั้ง ๖ ทางนี้ก็มีธรรมทั้งนั้น แต่ละทวารที่ ที่เขาเกิด มีธรรมหรือเปล่า มีธรรมอะไรศึกษาหรือเปล่า ถ้ามัวแต่อ่าน แต่ฟังอยู่เฉย ๆ ผ่าน ๆ ไป ก็ไม่ได้ประโยชน์ เพราะว่าก็ต้องพยายาม ศึกษาให้รู้ ให้เข้าใจ ให้หายสงสัย เพราะความลังเลสังสัยเป็นนิวรณ์ เป็นวิจิกิจฉานิวรณ์ เป็นธรรมเครื่องกั้นความดี แต่ศึกษาตามตัวหนังสือ ไม่พอ ถ้าศึกษาตามตัวหนังสือได้ ก็สำเร็จกันไปหมดแล้ว อ่านพระ ไตรปิฎกจบ ไม่ใช่อ่านจบอย่างเดียวนะ ท่องได้ด้วยทั้ง ๘๔,๐๐๐ พระ ธัมมขันธ์ พระวินัย ๒๑,๐๐๐ พระสูตร ๒๑,๐๐๐ พระอภิธรรม ๔๒,๐๐๐ พระธัมมขันธ์ เมื่อคราวทำสังคายนาที่ประเทศพม่า เขานิมนต์พระจาก ประเทศต่าง ๆ ไป เอาตำราพระไตรปิฏกมาตรวบสอบ ไม่ได้อ่านพระ ไตรปิฎก แต่สวดปากเปล่าเหมือนสวดปาติโมกข์ อ่านจบพระไตรปิฏก ท่องได้ แต่เข้าใจหรือเปล่า แล้วยังเอามาสอนในเมืองไทย ให้งมงาย ไปตาม ๆ กัน เยอะแยะเลย เพราะ..การศึกษานั้น จริง ๆ แล้วต้องศึกษาตอนที่ธรรมกำลัง ปรากฎ กำลังมีอยู่ ให้รู้ว่าเป็นธรรมจริง ๆ ถ้าเราเข้าใจทวารหนึ่งทวาร ใด ทวารอื่น ๆ ก็ง่ายขึ้น เพราะมีลักษณะทำนองเดียวกัน แล้วเราจะ เห็นคุณค่าของพระศาสนา พระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มันลึกซึ้งอย่างนี้เอง จึงเข้าใจยาก ที่จะรู้ตามได้... ขอบคุณบทความจาก ธรรมะไทย |