หัวข้อ: คนมีศีล เริ่มหัวข้อโดย: เด็กหน้าวัด ที่ กุมภาพันธ์ 11, 2012, 09:40:09 AM ศีลกับความรู้อย่างไหนสำคัญกว่ากัน
-------------------------------------------------------------------------------- นิทานชาดก เรื่อง คนมีศีล ปุโรหิตของพระเจ้าพรหมทัต สงสัยว่าศีลกับความรู้ อย่างไหนสำคัญกว่ากัน แต่ในที่สุดก็เข้าใจ... มีพราหม์หนุ่มคนหนึ่งเดินทางไปศึกษาศิลปวิทยาที่เมืองตักกสิลาแล้วกลับมาเฝ้าพระเจ้าพรหมทัตที่เมืองพาราณสี พระเจ้าพรหมทัตทรงโปรดปราณจึงแต่งตั้งให้เขาเป็นปุโรหิต ชาตินั้นพระพุทธเจ้าของเราเกิดเป็นปุโรหิต หลังจากรับแต่งตั้งเป็นปุโรหิตแล้ว พราหม์หนุ่มก็ตั้งใจทำหน้าที่ของตนเป็นอย่างดีโดยถวายคำปรึกษาและถวายคำแนะนำตามที่พระเจ้าพรหมทัตทรงขอคำปรึกษามา นอกจากมีความรู้แล้ว ปุโรหิตยังคำนึงถึงความเป็นคนดีด้วย เขาคิดว่าความเป็นคนดีนั้นจะต้องประพฤติตัวดีด้วยการรักษาศีล ๕ เป็นประจำ พระเจ้าพรหมทัต ตามปกติทรงเคารพเข้าอยู่แล้วว่าเป็นผู้มีความรู้ ต่อมาเมื่อทราบว่าเขารักษาศีล ๕ ก็ให้ความเคารพยิ่งขึ้นอีก วันหนึ่งหลังจากว่างจากงาน ปุโรหิตได้มานั่งพิจารณาดูตัวเองและเห็นว่าพระเจ้าพรหมทัตทรงให้ความเคารพตนเองมาก แต่ก็สงสัยว่า "พระราชาทรงเคารพเราตรงที่เรามีศีลหรือว่าทรงเคารพเราตรงที่เรามีความรู้" ครั้นคิดอย่างนี้แล้ว ปุโรหิตก็คิดหาวิธีทดสอบต่างๆ ในที่สุดก็พบว่า "เราจะต้องทดลองผิดศีลสักข้อ" เขาใคร่ครวญต่อไปว่า "ศีล ๕ ข้อนั้นเราจะทดลองผิดข้อไหนดี" ในที่สุดก็ตกลงใจได้ว่าจะลองผิดข้อที่ ๒ คือข้อห้ามลักขโมย ปุโรหิตเริ่มดำเนินการตามแผนโดยเที่ยวแตร่ไปยังบริเวณที่ทำงานของเจ้าหน้าที่ชั่งกหาปณะ วันหนึ่ง พอเจ้าหน้าที่เผลอก็หยิบกหาปณะมา ๑ อันแล้วนำไปเก็บไว้ที่บ้าน เจ้าหน้าที่นับกหาปณะเห็นแต่ไม่กล้าพูดอะไรทั้งนี้เป็นเพราะความเคารพในปุโรหิต อีกทั้งน้ำหนักของกหาปณะที่ชั่งอยู่ก็ยังลดไม่มาก จึงยังไม่มีใครเอาผิดเขาได้ ฝ่ายปุโรหิต วันรุ่งขึ้นก็เดินแตร่ไปบริเวณนั้นอีก และพอได้โอกาสก็หยิบกหาปณะออกจากเครื่องชั่งอีก เจ้าหน้าที่ชั่งกหาปณะก็ยังไม่กล้าว่าอะไร แต่ในใจก็เริ่มคิดตำหนิ "ปุโรหิตเป็นคนขี้ขโมย" วันต่อมา ปุโรหิตก็เดินแตร่ไปบริเวณนั้นอีก ทันทีที่เห็นปุโรหิต เจ้าหน้าที่นับกหาปณะคนเดิมก็เริ่มแสดงสีหน้าไม่ศรัทธาแต่เป็นเพราะความเคยชินก็ยังแสดงความเคารพอยู่แม้จะไม่สนิทใจก็ตาม ปุโรหิตสังเกตเห็นกิริยาอาการที่เขาแสดงออกก็รู้ได้ทันที่ว่าเขารู้แล้วว่าท่านขโมยกหาปณะไป "วันนี้ความจริงคงจะปรากฏ" ปุโรหิตคิดพลางทำทีเป็นเดินแตร่ไปแตร่มาอยู่บริเวณนั้นและเมื่อได้โอกาสก็หยิบกหาปณะมาจากเครื่องชั่ง ทันใดนั้นเองเจ้าหน้าที่นับกหาปณะคนนั้นก็สุดข่มใจได้จึงตวาดใส่ทันทีว่า "ไอ้คนขี้ขโมย" แล้วเขาก็ร้องให้ช่วยกันจับตัวปุโรหิตใว้ ปุโรหิตถูกคุมตัวเข้าเฝ้าพระเจ้าพรหมทัต พระเจ้าพรหมทัตทรงตกพระทัยมากที่เห็นปุโรหิตถูกคุมตัวมาเช่นนั้น "ท่านอาจารย์ไปทำความผิดอะไรมา พวกเจ้าจึงคุมตัวมาหาข้า" พระเจ้าพรหมทัตตรัสถามพวกเจ้าหน้าที่ "ปุโรหิตขโมยกหาปณะจากพระคลังหลวง พระเจ้าข้า" พวกเจ้าหน้าที่กราบทูล พระเจ้าพรหมทัตทรงได้ฟังข้อกล่าวหานั้นแล้วทรงนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงหันมาตรัสถามปุโรหิตว่า "ท่านอาจารย์ ท่านไปขโมยกหาปณะมาจริงหรือ" "ขอเดชะ..." ปุโรหิตกราบทูลด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม "ข้าพระองค์ขโมยจริง" "ฮ้า...อาจารย์ ท่านว่าอะไรนะ" พระเจ้าพรหมทัตตรัสถามแบบไม่เชื่อ "ท่านนะหรือไปขโมยกหาปณะจากคลังหลวง" "ใช่แล้ว พระเจ้าข้า" ปุโรหิตยืนยันแล้วกราบทูลต่อว่า "แต่ข้าพระองค์ทำไปก็เพื่อค้นหาความจริง" "ความจริงอะไรหรือท่านอาจารย์" "ความจริงที่ว่าระหว่างความมีความรู้กับความมีศีล อย่างไหนสำคัญกว่ากัน" "ทำไม ท่านอาจารย์ต้องแสวงหาความจริงนั้นด้วยเล่า" "ทุกวันนี้ พระองค์รวมทั้งเจ้าหน้าที่ในพระราชสำนักต่างให้ความเคารพข้าพระองค์มาก แต่ข้าพระองค์ไม่แน่ใจว่าความเคารพที่ให้มานั้นจากการที่ข้าพระองค์มีความรู้ดีหรือว่าจากการที่ข้าพระองค์มีศีลกันแน่" "ท่านก็เลยมาทดลองทำอย่างนี้เพื่อให้ได้คำตอบที่แท้จริง" "ใช่แล้วพระเจ้าข้า" "แล้วท่านอาจารย์ได้รับคำตอบหรือยัง" "ได้แล้ว พระเจ้าข้า" ปุโรหิตตอบเสียงดังชัดเจน "การที่ข้าพระองค์ถูกจับมาเช่นนี้ก็แสดงว่าเขาไม่เคารพข้าพระองค์เพราะเข้าใจว่าเป็นคนไม่มีศีลทั้งที่ข้าพระองค์ยังมีความรู้อยู่" "นั่นก็หมายความว่า ศีลสำคัญกว่าการมีความรู้" พระเจ้าพรหมทัตตรัสสรุป "ถูกแล้ว พระเจ้าข้า" ปุโรหิต ทูลรับคำ พระเจ้าพรหมทัตหันหน้าไปทางเสนาอำมาตย์ทั้งหลายด้วยความรู้สึกสบายพระทัยที่ปุโรหิตของพระองค์มิได้เป็นโจรอย่างถูกกล่าวหา "เจ้าทั้งหลายเห็นแล้วใช่ไหมว่าท่านอาจารย์ของข้าเป็นอย่างไร" พระองค์ทรงตรัสเสียงดัง "ท่านอาจารย์ทำเพื่อต้องการคำตอบมาแก้ข้อสงสัยของท่าน" "ขอเดชะ..." อำมาตย์คนหนึ่งกราบทูล "ที่ปุโรหิตกล่าวมาทั้งหมดนั้นอาจเป็นข้อแก้ตัวก็เป็นได้" "ไม่หรอก ไม่ใช่ข้อแก้ตัวของข้าพเจ้าหรอก" ปุโรหิตรีบพูดขึ้น จากนั้นจึงได้กล่าวแสดงความรู้สึกว่า "ข้าพระเจ้าสงสัยมานานแล้วว่า ศีลกับความรู้อย่างไหนสำคัญกว่ากันแต่มาวันนี้ข้าพเจ้าหายสงสัยแล้วและสรุปได้ว่า ศีลสำคัญกว่าความรู้ ศีลเป็นสิ่งสำคัญสูงสุดหากไม่มีศีลเสียแล้วคนจะเกิดมาสูงส่งขนาดไหนหรือจะเกิดมาสวยงามเพียงไรการเกิดมานั้นก็ไร้ผล ความรู้ของคนไม่มีศีลย่อมไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ กษัตริย์ที่ไม่ตั้งอยู่ในธรรม กับแพศย์ (พ่อค้า) ที่ไม่ตั้งอยู่ในธรรม ไม่มีอะไรแตกต่างกัน ทั้งสองละโลกนี้ไปแล้วก็ตกนรก กษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ ศูทร คนจัณฑาล และพวกเทขยะ ทำความดีแล้วย่อมได้เกิดในสวรรค์เหมือนกัน ในสัมปรายภพนั้น ความรู้ทั้งหลายก็ช่วยไม่ได้ ชาติกำเนิดและญาติพี่น้องก็ช่วยไม่ได้ มีแต่ศีลที่บริสุทธิ์เท่านั้น จึงจะช่วยให้มีความสุขได้" กล่าวจบแล้ว ปุโรหิตก็หันมาทูลลาพระเจ้าพรหมทัตออกบวช พระเจ้าพรหมทัตทรงทราบดีถึงความรู้สึกของปุโรหิตจึงไม่ขัดข้อง เมื่อได้รับพระราชานุญาตแล้ว ปุโรหิตก็เข้าป่าหิมพานต์ในวันนั้นเอง จากนั้นก็อธิฐานจิตถือบวชเป็นฤาษีตลอดชีวิต ชาดกเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า คนที่มีความรู้แต่ไม่มีศีล ความรู้แทนที่จะก่อประโยชน์สุขให้แก่สังคม ก็กลับกลายเป็นสร้างทุกข์ ตรงกันข้ามกับคนที่มีความรู้และมีศีล ความรู้นั้นก็ก่อประโยชน์สุขให้แก่สังคมอย่างใหญ่หลวง หัวข้อ: คนมีศีล เริ่มหัวข้อโดย: audi720 ที่ กรกฎาคม 20, 2012, 08:15:18 PM :-\ :-\ :-\ :-\ :-\ :-\ |