หัวข้อ: ใครว่ากรรมมีจริง เริ่มหัวข้อโดย: นานา ที่ กันยายน 15, 2012, 01:14:01 PM จากประสบการณ์จริงที่แชร์ประสบการณ์แค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น ทำให้ไม่เชื่อว่ากรรมมีจริง ยิ่งทำชั่วเท่าไหร่ก็ไม่เห็นเป็นอะไรเลย
เป็นเรื่องของน้องชายแท้ๆที่คลานตามกันมา ทำผู้หญิงท้องตอนอยู่ ม.5 พอรู้ว่าเค้าท้องก็เลิกทันที่ แล้วให้ผู้หญิงกินเหล้าเพื่อให้แท้ง จากนั้นก็มีแฟนใหม่ ไม่ยอมรับว่าเป็นลูกของตัวเอง พ่อแม่เสียใจต้องไปจ่ายเงินประกันตัวที่โรงพักเพราะทางพ่อของฝ่ายหญิงแจ้งความไว้ พอเด็กเกิด ทางผู้หญิงไม่สามารถเลี้ยงได้ พ่อแม่ก็เลยรับมาเลี้ยงเอง ตอนนี้เด็กอายุ2ขวบก่าๆ มันก็พูดจาไม่ดี ด่าเด็กหยาบๆ ตีเด็ก ไม่มีเหตุผล จนเด็กติดคำพูดหยาบคายจากมัน กลายเป็นเด็กก้าวร้าวแต่เด็ก แล้วไม่รับเป็นพ่อให้เด็กเรียกตัวเองว่าพี่ ปัจจุบันก็มีผู้หญิงใหม่เอามานอนด้วยที่บ้านโดยไม่สนใจว่าพ่อแม่จะรู้สึกยังๆไง เรื่องเรียนไม่เคยตั้งใจเรียนตั้งแต่เกิดเข้าโรงเรียนใช้เส้นตลอด ตอนนี้เรียนมหาลัยแล้วซิ่วมาแล้ว1ครั้ง ตอนนี้ทำท่าจะโดนไล่ออกเพราะเกรดต่ำกว่ากำหนด ตอนเรียนชอบชกต่อย พ่อแม่ต้องไปจ่ายเงินประกันตัว ช่วงเวลานี้พ่อแม่เสียใจสุดๆ ชอบโกหกขอเงินพ่อแม่โดนอ้างว่าจะเอาเงินไปจ่ายค่ารายงาน ค่าต่างๆที่เกี่ยวกับการเรียน แท้จริงแล้วเอาไปเที่ยวกินเหล้ากับเพื่อน พอพ่อแม่ไม่มีให้ก็ด่าพ่อแม่ เรียกพ่อว่าไอ้เบื้อก บอกว่าถ้าแกไปนะจะเอาไปส่งสถานรับเลี้ยงคนชรา ผ่านมาหลายปี ทุกวันนี้เค้าก็มีความสุข จะทำไรก็มีคนคอยช่วยเหลือ ทำอะไรอยากได้อะไรก็สมหวัง ส่วนพ่อแม่พี่ แล้วก็เด็กที่เกิดมา แม่ของเด็ก ทุกข์ จบ..... หัวข้อ: ใครว่ากรรมมีจริง เริ่มหัวข้อโดย: ธรรมไปได้ ที่ มกราคม 30, 2013, 10:30:08 PM ขอยกคำพระพุทธเจ้ามาเถียงครับ ท่านตรัสว่าไม่ว่าเราทำกรรมอะไรไว้ก็ตามมันจะส่งผลไม่ช้าก็เร็วครับขึ้นอยู่ว่ากรรมอันไหนมันหนักกว่า เช่นทำกรรมดีไว้เยอะในอดีตชาติมันอาจจะส่งผลก่อนจากนั้นกรรมเลวมันจะรอต่อคิวสลับกันไปมา ภิกษุ ท. ! ข้อนี้ก็ฉันนั้น คือ กรรมอันบุคคล กระทำแล้วด้วยโลภะ เกิดจากโลภะ มีโลภะเป็นเหตุ มีโลภะเป็นสมุทัย อันใด ; กรรมอันนั้น ย่อมให้ผลใน ขันธ์ทั้งหลาย อันเป็นที่บังเกิดแก่อัตตภาพของบุคคลนั้น. กรรมนั้นให้ผลในอัตตภาพใด เขาย่อมเสวยวิบากแห่ง กรรมนั้น ในอัตตภาพนั้นเอง ไม่ว่าจะเป็นไปอย่างใน ทิฏฐธรรม (คือทันควัน) หรือว่า เป็นไปอย่างในอุปปัชชะ (คือในเวลาต่อมา) หรือว่า เป็นไปอย่างในอปรปริยายะ (คือ ในเวลาต่อมาอีก) ก็ตาม. กรรมอันบุคคลกระทำแล้วด้วยโทสะ เกิดจาก โทสะ มีโทสะเป็นเหตุ มีโทสะเป็นสมุทัย อันใด ; กรรมอันนั้น ย่อมให้ผลในขันธ์ทั้งหลายอันเป็นที่บังเกิด แก่อัตตภาพของบุคคลนั้น. กรรมนั้น ให้ผลในอัตตภาพใด เขาย่อมเสวยวิบากแห่งกรรมนั้น ในอัตตภาพนั้นเอง ไม่ว่า จะเป็นไปอย่างในทิฏฐธรรม หรือว่า เป็นไปอย่างใน อุปปัชชะ หรือว่า เป็นไปอย่างในอปรปริยายะ ก็ตาม. กรรมอันบุคคลกระทำแล้วด้วยโมหะ เกิดจาก โมหะ มีโมหะเป็นเหตุ มีโมหะเป็นสมุทัยอันใด ; กรรม อันนั้น ย่อมให้ผลในขันธ์ทั้งหลาย อันเป็นที่บังเกิด แก่อัตตภาพของบุคคลนั้น. กรรมนั้น ให้ผลในอัตตภาพใด เขาย่อมเสวยวิบากแห่งกรรมนั้น ในอัตตภาพนั้นเอง ไม่ว่า จะเป็นไปอย่างในทิฏฐธรรม หรือว่า เป็นไปอย่างใน อุปปัชชะ หรือว่า เป็นไปอย่างในอปรปริยายะ ก็ตาม. ภิกษุ ท. ! เหตุทั้งหลาย ๓ ประการ เหล่านี้แล เป็นไปเพื่อความเกิดขึ้นแห่งกรรมทั้งหลาย ที่มา http://www.dhampaidai.blogspot.com/2011/09/blog-post_2707.html (http://www.dhampaidai.blogspot.com/2011/09/blog-post_2707.html) |