หัวข้อ: อกหักบ่อยครั้ง เสียใจทุกครั้ง เมื่อไร่จะพบคนที่รักเราจริงๆ เริ่มหัวข้อโดย: ปิยพนธ์ ที่ กันยายน 23, 2014, 11:31:30 AM ผมเองขอแชร์ประสบการณ์ความรัก และขอคำแนะนำ
ผมเกิดในครอบครัวที่อบอุ่น พ่อแม่ให้อิสระในความคิด ปัจจุบันผมทำงานเป็นผู้บริหาร บริษัทแห่งหนึ่ง ทั้งหน้าที่การงาน และครอบครัว มั่นคง แต่ในเรื่องของความรัก ผมเสียใจบ่อยครั้ง ผมขอเล่าครั้งล่าสุด ผมได้รู้จักเพื่อนร่วมงานคนหนึ่ง ซึ่งเราเคยทำงานในแผนกเดียวกัน เมื่อ 10 ปีที่แล้ว ตอนนั้นผมพึ่งจบมาใหม่ๆ ได้พบกับเธอ แต่ตอนนั้นเราก็รู้จักกันและสนิทสนมกันในแบบเพื่อน ได้รับรู้ว่าเธอก็มีแฟนอยู่แล้ว ผมเองก็แอบชอบเธอมาตลอด แต่เราก็ต่างแยกย้ายกันไปทำงานในแต่ละที่ตามวิถีทางของมนุษย์เงินเดือน แต่เราเองก็ยังติดต่อกันบ้าง แลกเปลี่ยนทัศนคติ ช่วยเหลือกันตามอัตภาพของคำว่าเพื่อน แ่แล้ววันหนึ่งเราต่างคนต่างก็เพิ่งเลิกกับแฟนจนมีโอกาสได้พบกันอีกครั้ง เราจึงตัดสินใจคบกันในฐานะคนรัก ระยะเวลาประมาณ 1 ปีเศษ เราร่วมทุกและสุขด้วยกันมาโดยตลอด จนเมื่อระยะหลังเราเริ่มมีปัญหาทะเลาะกันแต่เป็นผมที่เข้าใจเธอทุกอย่าง เธอบอกเลิกกับผม ทั้งที่เรากำลังจะแต่งงานกันในปี 2558 เธอให้เหตุผลว่า เราถอยกันคนล่ะก้าวมาเป็นเพื่อนกันเช่นเดิมเถอะ ถ้ามีโอกาสเจอใครที่ดีก็จะได้ไม่ทำให้อีกฝ่ายเสียใจไปมากกว่านี้ ผมก็ต้องยอมรับและเข้าใจในสิ่งที่เธอได้ตัดสินใจลงไป ผมทำใจไม่ได้เลยจริง คงเป็นเพราะคาดหวังเอาไว้เยอะ แต่หลังจากเลิกกันเราก็ยังคุยกันอยู่บ้างแต่น้อยลง เธอเป็นคนมีเสน่ห์ มีคนหมายปองมากมาย ครั้งนี้ถือเป็นครั้งที่ 3 ที่ผมได้มีโอกาสพบเจอกับความรัก และทุกๆครั้งผมพยายามทำให้มันดีที่สุด แต่สุดท้ายก็เป็นแบบนี้ทุกครั้ง ส่วนครั้งนี้หนักที่สุด แต่ผมพยายามเอาธรรมะเข้ามาปรับใช้ ทั้งการสวดมนต์ ภาวนา วิปัสสนา แต่ดูเหมือนจิตใจยังคงว้าวุ่น นอนไม่ค่อยหลับ ก็ไม่รู้จะทำยังไง ก็คงต้อง "ปล่อย" เธอไป แต่ใจของเราเป็นทุก จะคลายยังไงดีครับ พยายามตัดใจ แต่ดูเหมือนว่ายังทำใจไม่ได้เลยแม้เวลาจะผ่านมา เกือบ 4 เดือนแล้วครับ หัวข้อ: อกหักบ่อยครั้ง เสียใจทุกครั้ง เมื่อไร่& เริ่มหัวข้อโดย: เกียรติคุณ ที่ กันยายน 23, 2014, 03:36:14 PM ไม่ใช่แค่คุณคนเดียวหรอกครับที่เจอ คุณยังไม่ได้แต่งงานฐานะมั่นคงมันก็ดีแล้ว
ปัญหาขของผู้อื่น 1. ผมนี้ มีลูกกันแล้ว 1 คน แต่ก็ต้องเจอความพรัดพรากเป็นที่สุดจนคิดว่าตกนรกทั้งเป็น จนคิดว่าจะฆ่าตัวตายเสียตอนนี้เลย ไม่ก็หนีบวชไปเลย แต่ที่ยังอยู่ได้ เพราะลูกผมอายุ 3 ขวบเห็นผมร้องไห้ทุกวัน เขาเลยเข้ามากอดผมพร้อมร้องไห้แล้วพูดว่า "เราอยู่กัน 2 คนก็ได้นี่นา" เนี่ยเด็กที่แม้รู้ว่าต้องขาดแม่ยังพูดกับผมอย่างนี้ เราสิโตพอจะดูแลตัวเองได้แล้วยังเอาแต่เสียใจแล้วจะดูแลลูกยังไง หากผมล้มในตอนนี้ในวันข้างหน้าจะเอาอะไรไปสอนลูก พร้อมกันนั้นมีคำสอนที่เตี่ยผมสอนว่า "กูเลี้ยงมึงมาทั้งชีวิตของกู กูไม่มีเงินก็หาให้มึงกินมึงใช้ บ้านเราไม่ใช่คนรวยแค่มีอยู่มีกินไปวันๆ บางวันกูกับแม่มึงต้องอดข้าว เพื่อเอาเงินไปซื้อข้าวให้มึงกิน ส่งมึงเรียนจบ ปวส. ยังหาเงินสำรองไว้ให้มึงอีก มึงเจอปัญหาแค่นี้มึงคิดจะฆ่าตัวตาย เสียชาติเกิดมาเป็นลูกกู" จากคน 2 คนนี้แหละที่ทำให้ผมยังยืนอยู่ได้ แค่คำพูดแค่นี้ก็เสียบไปกลางหัวใจให้คิดได้จนละอายแก่ใจมากแล้ว แล้ววันที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2556 เตี่ยผมได้ละโลกนี้ไปแล้ว ความเสียใจมันเหลือหลาย แต่กระทั่งพ่อที่เลี้ยงดูเรามาอย่างดีตั้งแต่เกิด เรายังไม่เคยทดแทนบุญคุณท่านเลย พ่อตาย 3 วันเผา เลิกร้องไห้ เมียตายหรือเลิกกับเมีย 10 ปียังไม่เลิกเสียใจ ทั้งๆที่เขาไม่เคยหาเลี้ยงเราเลย นอกจากเสพย์ความใคร่ ความกำหนัดราคะ เสพย์เมถุน เท่านั้น นี่ดูสิ ใจเรามันอกตัญญูแค่ไหน จนทำให้เรารู้ว่า ไม่มีสิ่งใดยิ่งใหญ่ไปกว่าพ่อและแม่ที่ให้กำเนิดเรามาและเลี้ยงดูแลเรามาจนโต จนทุกวันนี้ผมเหลือแม่คนเดียวลูกผมก็อยู่กับแม่ผม ผมก็พยายามหาให้ลูกกับแม่ได้มากที่สุดเท่าที่มีปัญญา เงินเดือนผม 10,300 บาท ต้องเลี้ยงทั้งลูกและแม่ที่อายุได้ 75 ปี - คุณลองหวนระลึกดูว่าสิ่งใดควรให้ความสำคัญในชีวิตมากที่สุด 2. พระพุทธเจ้าตรัสสอนไว้ว่า คนเรามีความพลัดพรากเป็นที่สุด ไม่มีใครล่วงพ้นสิ่งนี้ไปได้ ไม่มีสิ่งใดคงอยู่ตลอดไป จะต้องเสื่อมสลายไปทุกๆอย่างไม่ว่าจะด้วยสภาพแวดล้อม การดูแลรักษา กาลเวลา สภาวะธรรมปรุงแต่งภายใน(จริตสันดาน ความตรึกนึกคิดไรๆ เป็นต้น) หรือ ความตาย ไม่มีตัวตนอันที่เราจะไปยื้อยุด ฉุดรั้งมันให้เป็นไปดังใจเราได้ บังคับให้มันคงอยู่ไม่ได้ บังคับให้มันไม่เปลี่ยนไปไม่ได้ ความเข้าไปตั้งความปารถนาใคร่ได้ยินดีฝักใฝ่จดมั่นในสิ่งที่ไม่เที่ยง ไม่มีตัวตน มันเป้นทุกข์ นี่พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า เกิด ขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ไม่เที่ยง ไม่มีตัวตน เป็นทุกข์ ทางสู้ปัญหา 3. ใช้ "ทมะ" (อ่านว่า ทะ-มะ) ทมะ คือ ความข่มใจจากกิเลส ความข่มใจจากกิเลสนี้มีขันติ คือ ความทนได้ทนไว้ ด้วยสภาวะที่ใจเรานั้นรู้จักปล่อย รู้จักละ รู้จักวางร่วมอยู่ด้วย - แล้วเราจะข่มใจจากกิเลสอันเศร้าหมองใจอย่างไร อย่างเราๆนี้ คือ คิดดีนั่นเอง พึงหวนระลึกตรึกนึกเช่นว่า ก. เราเลิกกันตอนนี้ ก็ยังดีกว่าแต่งงานแล้วเลิกหรือหย่ากัน อันนั้นมันเจ็บกว่า เสียตังค์เป็นแสนแขนไม่ได้จับ ข. เราเลิกกันตอนนี้ ก็ยังดีกว่าแต่งงานมีลูกกันแล้วเลิกรากันไป อันนั้นจะเป็นปมด้อยให้ลูกด้วย ไม่ใช่แค่เรานั้นเสียใจฝ่ายเดียว ค. ที่เธอเลิกราไปนี้ มันช่วยให้เราได้สำรวจดูความบกพร่องของตัวเองมากขึ้น และ รู้ว่าใครที่เราควรจะทุ่มเทให้มากที่สุด นั่นคือ แม่เรานี่เอง ง. ที่เธอเลิกราเราไปนี้ มันช่วยให้เราได้เห็นสัจธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนว่า คนเรามีความพรัดพรากเป็นที่สุด ความพรัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รักที่จำเริญใจนั่นก็เป็นทุกข์ เมื่อคุณปารถนาที่จะอยู่กับบุคคลอันเป็นที่รักแต่ไม่อาจสมปารถนาได้มันก็เป็นทุกข์ ดั่งคำสอนที่ว่า ยัมปิจฉังนะละภะติตัมปิทุกขัง ปารถนาสิ่งใดไม่ได้สิ่งนั้น นั่นก็เป็นทุกข์ นี่น่ะเห็นธรรมเลยนะได้รับรู้ความจริงเลย สภาพจริงๆที่ว่า ความขุ่นเคืองคับแค้นใจมีอาการยังไง นี่รู้สภาพปรมัตถธรรมด้วย จ. ที่เธอจากไปนี้ มันช่วยให้เราได้รู้ว่า ความสละให้ สละทิ้งเป็นเช่นไร แม้พระพุทธเจ้าเมื่อเสวยพระชาติเป็นพระเวสสันดรนี้ เมื่อชูชกมาขอเอาลูกก็ยังต้องยอมสละทิ้ง เมื่อมาขอเอาพระนางมัทรีก็ยังต้องยอมสละทิ้ง ส่วนเรานี้มีความพรัดพรากอย่างนี้ เมื่อเราเจริญจิตไปด้วยเมตตาปารถนาให้เธอเป็นสุขกับสิ่งที่ใช่ของเธอ มีความสงเคราะห์ให้อนุเคราะห์ให้มีจิตจะปลดปล่อยให้เธอไป เรียกว่า กรุณา มีการสละให้ สละคืนเธอไปสู่วิถีชีวิตของเธอ เรียกว่าทาน มีจิตยินดีเมื่อเธอเป็นสุขคงไว้ซึ่งความสุขและสมบัติในชีวิตของเธอโดยที่เราไม่มาเสียใจเสียดายในภายหลัง นั่นเรียก มุทิตาจิต นี่เมื่อเจริญขึ้นเต็มกำลังใจเรียกว่าบารมี คือ ทำให้เต็มกำลังใจ เรียกว่าคุณได้ทำบารมีใน เมตตา กรุณา ทาน มุทิตา พร้อมๆกันในชาตินี้เลยทีเดียว อย่างนี้ต้องขอบคุณเธอที่ทำให้เรานั้นได้สะสมบารมี ๑๐ ทัศ 4. เมื่อมีความข่มใจด้วยทมะแล้ว ย่อมเข้าถึงซึ่ง "อุปสมะ" คือ ความสงบใจจากกิเลส ก็เหมือนๆกับทมะและขันติ โดยความสงบใจจากกิเลสนี้อาศัยทมะและขันติ คือ ความทนได้ทนไว้ ด้วยสภาวะที่ใจเรานั้นรู้จักปล่อย รู้จักละ รู้จักวางให้เกิดขึ้นหรือรสงเคราะห์ร่วมด้วยให้เข้าถึงความสงบใจนั้น - อุปสมะนี้ เป็นธรรมคู่กัน ๒ คือ ทมะ+อุปสมะ แล้ว ทมะเป็นมรรค คือ หนทางพ้นทุกข์ อุปสมะนี้ คือ ผล ซึ่ง เมื่อเราข่มใจจากกิเลสด้วย กุศลวิตก ๓ คือ (ความตรึกที่เป็นกุศล ๓ , ความนึกคิดที่ดีงาม ๓ — wholesome thoughts) 1. เนกขัมมวิตก (ความตรึกปลอดจากกาม, ความนึกคิดในทางเสียสละ ไม่ติดในการปรนปรือสนองความอยากของตน — thought of renunciation; thought free from selfish desire) 2. อพยาบาทวิตก (ความตรึกปลอดจากพยาบาท, ความนึกคิดที่ประกอบด้วยเมตตา ไม่ขัดเคืองหรือเพ่งมองในแง่ร้าย — thought free from hatred) 3. อวิหิงสาวิตก (ความตรึกปลอดจากการเบียดเบียน, ความนึกคิดที่ประกอบด้วยกรุณาไม่คิดร้ายหรือมุ่งทำลาย — thought of non-violence; thought free from cruelty) ก็จะทำให้คุณมีกุศลจิตเกิดขึ้นอันทำให้เราคลายความยึดมั่นถือมั่นในตัวของแฟนคุณ ด้วยละเสียว่า - เธอไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา สักแต่เพียงให้เราได้ยืมมาเสวยสุขเวทนาและความโสมนัสเวทนาชั่วคราว เมื่อถึงเวลาเธอก็ต้องไป ไม่มีสิ่งใดคงอยู่นาน ไม่มีตัวตนที่เราจะจับบังคับให้เป็นดั่งใจได้ เมื่อเราเข้าไปปารถนาในเขาซึ่ีงเป็นสิ่งที่ไม่เที่ยง ไม่มีตัวตน ย่อมนำความทุกข์มาให้ - เราควรถึงความปารถนาดีแก่เขาจักไม่ผูกเวรโกรธแค้นเคืองไรๆต่อเขา พึงปารถนาให้เขานั้นได้ดีมีสุขดั่งที่เราตั้งเจตนาไว้ เราควรแล้วที่จะสงเคราะห์เขาที่ผ่านมาเขาก็ให้ความสุขเรามาพอสมควรแก่หน้าที่เขาแล้ว เราควรสละคืนสุขนั้นให้เธอบ้างเช่นกัน - เมื่อเราสละเธอแล้วก็จะไม่มาเสียใจเสียดายในภายหลังอีก เพราะถือว่าเราสละความครอบครองทิ้งไปแล้วเพื่อประโยชน์สุขของเธอ - เมื่อเราติดใจข้องแวะจากการพรัดพรากไปไม่ว่าจะด้วยสภาพแวดล้อม กาลเวลา การดูแลรักษา สภาวะธรรมปรุงแต่งภายใน หรือ ความตายไรๆไปมันก็ไม่เกิดประโยชน์ใดๆนอกจากทุกข์ ละความติดใจข้องแวะนั้นไปเสีย เพราะนี่คือธรรมชาติ นี่คือสัจธรรม - ถึงจะติดใจข้องแวะหรือไม่ติดใจข้องแวะที่เธอจากไป ก็ไม่ทำให้เธอกลับคืนมา เธอก็ต้องจากไปอยู่ดี / ถึงเราจะร้องไห้เสียใจหรือเราจะเป็นสุขไม่ร้องไห้เสียใจเธอก็จากไปอยู่ดี / แล้วอย่างนี้จะไปเอาสิ่งไรๆกับความพรัดพรากได้เล่า หากรักเธอจริงก็อย่าเอาความขุ่นมัวคับแค้นกายใจของเราไปให้เธอ ควรยินดีเมื่อเธอไปพบเจอความสุขที่เธอต้องการ ดั่งเราจับนกมาขังไว้มันย่อมอยากพบเจอผืนป่าผืนน้ำที่อยู่อาศัยของมันตามวิถีชีวิตของมัน เมื่อเราปล่อยมันไปมันย่อมเป็นสุขที่มีอิสระ ถือว่าเป็นเมตตาทานบารมีของเรา นี่ยิ่งเป็นมนุษย์คือสัตว์ประเสริฐ ยิ่งถือเป็นเมตตา กรุณา และทานบารมีอันสูงสุด ** เพราะด้วยเจริญจิตขึ้นฉะนี้ โทสะย่อมดับไป กุศลจิตอันเป็นไปในเมตตา กรุณา ทาน มุทิตา ย่อมเกิดขึ้นแก่เรา ให้สงบรำงับจากความเร่าร้อนที่มากด้วย โลภ โทสะ โมหะ ถึงความว่างนิ่งไม่ติดข้องใจในสิ่งใดๆ ไม่จับเอาโทสะ ความอัดอั้นคับแค้นกายใจ ไม่สบายกายใจ โศรกเศร้าร่ำไรรำพันไรๆมาเป็นอารมณ์ที่ตั้งแห่งจิต ไม่ยินดียินร้ายไปกับกิเลส เข้าถึงความสงบใจ ว่างอยู่จากกิเลส สงบกายใจไม่เราร้อน รู้สึกเบากายใจเป็นที่สุด อันนี้เรียกอุปสมะ / หากเข้าถึงขั้นสูงก็เปรียบเสมือนได้ดับกิเลสสิ้นแล้ว ดับเพลิงกิเลสเพลิงทุกข์สิ้นเชิง ไม่มีอุปกิเลสอีก เรียกว่า พระอระหันต์ หรือ สภาวะที่เป็นคุณของพระนิพพาน - ผมขอกล่าวแค่นี้ก่อนนะครับ เอา ทมะ+อุปสมะ ไปก่อน ไปเจริญให้ได้ก่อน ซึ่งต้องอาศัย ศีล ทาน ภาวนา(สมาธิ+ปัญญา) ด้วย จะทำให้เกิดปรปะโยชน์อันสูงสุด จนสืบต่อมาเมื่อคุณไม่เจอสิ่งไรๆเข้า คุณจะรู้ทันทีว่าติดใจข้องแวะไปมีแต่ทุกข์ คุณจะไม่เสพย์อารมณ์อันใดที่ทำให้เร่าร้อนกายใจอีกเลย เมื่อถึงสภาวะนี้ สติกับสมาธิจะมีกำลังมาก ควรแก่การเจริญในลำดับต่อมา นั่นคือ เข้าถึงอัปนาสมาธิหรือฌาณ และ วิปัสสนาญาณหรือปัญญา - อันนี้ผมอธิบายยืดเยื้อจนยาวไม่รู้ว่าจะพอเข้าใจไหม สรุปโดยย่อคือ ก. ทมะ ความข่มใจจากกิเลส คือ คิดดี ได้แก่ กุศลวิตก 3 (ความตรึกที่เป็นกุศล, ความนึกคิดที่ดีงาม — wholesome thoughts) 1. เนกขัมมวิตก (ความตรึกปลอดจากกาม, ความนึกคิดในทางเสียสละ ไม่ติดในการปรนปรือสนองความอยากของตน — thought of renunciation; thought free from selfish desire) 2. อพยาบาทวิตก (ความตรึกปลอดจากพยาบาท, ความนึกคิดที่ประกอบด้วยเมตตา ไม่ขัดเคืองหรือเพ่งมองในแง่ร้าย — thought free from hatred) 3. อวิหิงสาวิตก (ความตรึกปลอดจากการเบียดเบียน, ความนึกคิดที่ประกอบด้วยกรุณาไม่คิดร้ายหรือมุ่งทำลาย — thought of non-violence; thought free from cruelty) ข. อุปสมะ สงบใจจากกิเลส ได้แก่ - อาศัยความรู้จักปล่อย ละ วาง สละทิ้ง ไม่หยิบจับเอาสิ่งไรๆมาเป็นที่ตั้งแห่งจิต เลือกเสพย์แต่สิ่งที่ดีงามเป็นกุศล / เป็นเหตุทำให้กายใจเราเข้าถึงความว่างจากกิเลสทุกข์เครื่องเร่าร้อน รุ่มร้อน เดือดดาล ร้อนรุ่มกายและใจทั้งหลายเป็นผล ยาวเกินไปจนทำให้สับสนไหมครับ - หากคุณปฏิบัติแล้วพบว่าเป็นพระโยชน์ ขอให้คุณศรัทธาในพระรัตนตรัยให้มาก เคารพพ่อแม่และครูบาอาจารย์ให้มาก จะนำพาให้คุณมีชีวิตที่ดีงามแน่นอน 1. เพราะพระพุทธเจ้าเป็นผู้ตรัสสอนชี้แนะให้เราเห็นทางพ้นทุกข์ 2. เพราะพระธรรมเป็นธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วเผยแพร่สั่งสอนซึ่งให้ผลได้ไม่จำกัดกาล ผู้ปฏิบัติย่อมรู้ได้ด้วยตนเอง 3. เพราะพระสงฆ์สาวกทั้งหลายเป็นผู้เข้าถึงมรรคและผลแล้วถ่ายทอดพระธรรมคำสอนสืบต่อมาให้เราได้รู้ตามเพื่อถึงความพ้นทุกข์ 4. เพราะบิดา-มารดาที่เดลี้ยงดูเรามาให้กำเนิดเราดูแลเรามาอย่างดีจนสามารถเลี้ยงชีพได้ และ ได้เจอพระพุทธศาสนานี้ 5. เพราะครูบาอาจารย์ทั้งหลายทั้งทางโลกที่ชี้แนะสั่งสอนวิชาชีพให้เราใช้ดำรงชีวิต และ ทางธรรมให้เราได้เรียนรู้สิ่งที่ดี ถูกและผิด ดำเนินไปในทางที่เป็นกุศล ได้เลี้ยงชีพโดยชอบและเห้นทางพ้นทุกข์นั้น หัวข้อ: อกหักบ่อยครั้ง เสียใจทุกครั้ง เมื่อไร่จะพบคนที่รักเราจริงๆ เริ่มหัวข้อโดย: ปิยพนธ์ ที่ กันยายน 24, 2014, 01:41:54 PM อนุโมทนาสาธุครับ ขอบคุณสำหรับปง่คิดดีๆ ที่มีค่าซึ่งเหมือนแสงสว่างที่ส่องทางผมในขณะนี้ครับ
หัวข้อ: อกหักบ่อยครั้ง เสียใจทุกครั้ง เมื่อไร่จะพบคนที่รักเราจริงๆ เริ่มหัวข้อโดย: ไหลเย็น ที่ กันยายน 24, 2014, 05:19:39 PM สาธุ ด้วยครับ
สิ่งที่ผ่านไปแล้ว ถ้าไม่ดี อย่าเอามาย้ำคิดย้ำจำอีก เพราะทำให้จิตเศร้าหมอง พระพุทธเจ้าเตือนไว้ว่า เมื่อจิตเศร้าหมองแล้ว ทุคติ เป็นอันหวังได้ นอกจากตายไปสู่ ทุคติ แล้วขณะยังไม่ตาย จิตที่เศร้าหมองก็จะเปฺดโอกาสให้กรรมที่ไม่ดีหลั่งไหลเข้ามาในชีวิตแทน ดังนั้นจึงควรรักษาใจให้ผ่องใส ระลึกถึงแต่กุศล แล้วกรรมดีต่างๆก็จะหลั่งไหลมาแทน จิตเราเหมือนเป็นผู้เปิดประตูกรรม ถ้าเปฺดประตูของ อกุศล ก็ไปต้อนรับ อกุศลเข้ามา ถ้าเปิดประตูของ กุศล ก็ต้อนรับ กุศลเข้ามา ขอความเจริญในธรรมจงมีแด่ท่านครับ หัวข้อ: อกหักบ่อยครั้ง เสียใจทุกครั้ง เมื่อไร่จะพบคนที่รักเราจริงๆ เริ่มหัวข้อโดย: บาส ที่ กรกฎาคม 07, 2015, 04:56:27 PM ทำตัวเองดีคนดีๆจะเข้ามาเองแหละครับ
หัวข้อ: อกหักบ่อยครั้ง เสียใจทุกครั้ง เมื่อไร่& เริ่มหัวข้อโดย: Jonsnow ที่ พฤษภาคม 09, 2019, 04:43:25 PM สาธุ |