สนทนาธรรม ฟังธรรม อ่านธรรมะ บทความธรรมะ หลักธรรมคำสอน กฎแห่งกรรม dhamma

ธรรมะออนไลน์ => กระดานถาม-ตอบ => ข้อความที่เริ่มโดย: ความหวัง ที่ มีนาคม 14, 2016, 05:51:56 PM



หัวข้อ: พ่อแม่ไม่ยอมรับฟัง ดุด่าด้วยถ้อยคำรุนแรงทำอย่างไรดี
เริ่มหัวข้อโดย: ความหวัง ที่ มีนาคม 14, 2016, 05:51:56 PM
     หนูเป็นคนหนึ่งที่ต้องอยู่ในกฎเกณฑ์คำสั่งของพ่อแม่ มีชีวิตโดยการทำตามคำสั่งของพ่อแม่ตลอดเวลาไม่สามารถทำอะไรที่ตัวเองต้องการได้เต็มที่ ตอนแรกก็คิดว่ามันคงไม่เป็นอะไรทำๆไปเถอะ แต่เมื่อได้โตขึ้นมาอีกวัยหนึ่งความคิดก็เริ่มเปลี่ยนบางสิ่งที่มันไม่ใช่สิ่งที่เราชอบหรือต้องการเมื่อลองขอพ่อแม่ทำก็ไม่ได้รับอนุญาตอย่างการที่จะเรียนต่อก็ต้องเรียนทั้งๆที่ไม่ใช่สิ่งที่ต้องการ หนูก็รู้ว่าพ่อแม่ทุกคนก็อยากให้ลูกได้ดีแต่ความคิดของคนเรามันไม่เหมือนกัน เมื่อหนูทำอะไรไม่ได้ตามที่ใจต้องการแม่ก็มักจะตีจะด่าว่าด้วยถ้อยคำที่รุนแรงบางครั้งก็ไล่ให้ไปตาย แต่เมื่ออารมณ์ดีก็จะพูดดีด้วย ตอนที่จะใช้ให้ทำงานก็จะพูดดีด้วยหรือบางครั้งอาจจะใช้ถ้อยคำไม่ดีบ้าง แต่เมื่อเวลามีอะไรไม่พอใจก็จะดุด่าหยิบเอาเรื่องเก่าๆหรือไม่ก็หาว่าไม่ช่วยทำงานบ้านไม่เคยทำอะไรทั้งๆที่หนูก็ทำมาด่า ดุด่าด้วยคำพูดที่รุนแรงไล่ให้ไปตายบ้างล่ะ เปรียบเป็นสัตว์บ้างล่ะ ตรงกันข้ามกันกับน้องที่แม่จะไม่ต่อว่าอะไรมากเวลาน้องทำผิดแม่ก็จะทำเป็นไม่สนใจแต่กับหนูแค่ผิดพลาดนิดเดียวแม่ก็จะดุด่ารุนแรง บางครั้งหนูก็เหนื่อยก็ท้อที่พ่อแม่ไม่เข้าใจจนอยากฆ่าตัวตาย แม่ชอบว่าหนูไม่ทำอะไรเลยทั้งๆที่หนูก็ทำแม่ไม่ยอมรับฟังอะไรหนูเลยหาว่าหนูแก้ตัวพอหนูไม่พูดแม่ก็หาว่าหนูเป็นตามที่ท่านพูด เวลาหนูอยู่บนห้องแม่ก็หาว่าหนูเอาแต่เล่นโทรศัพท์ไม่ช่วยงานบ้านทั้งๆที่หนูทำการบ้านอ่านหนังสือหนูจะพูดอะไรก็ไม่เคยเชื่อ หรือถ้าหนูตายพ่อแม่จะพอใจไหม


หัวข้อ: พ่อแม่ไม่ยอมรับฟัง ดุด่าด้วยถ้อยคำรุนแรง
เริ่มหัวข้อโดย: ความหวัง ที่ มีนาคม 14, 2016, 05:54:34 PM
ขอความกรุณาช่วยชี้แนะแนวทางปฏิบัติด้วยค่ะ :(


หัวข้อ: พ่อแม่ไม่ยอมรับฟัง ดุด่าด้วยถ้อยคำรุน&#
เริ่มหัวข้อโดย: เกียรติคุณ ที่ มีนาคม 18, 2016, 12:05:24 AM
อยากให้คุณฟังเรื่องราวนี้สักนิดนะครับ เรื่องจริงนะ

เมื่อก่อนสมัยผมเป็นเด็กจนโตมาเรียนจบ ทำงาน​ แม่ผมจะรักพี่ชายผมมากเวลาคุยกับผมก็ว่าผมไม่ดีไม่เก่ง สู้พี่ชายมึงไม่ได้เลย โน่นดูลูกเขาโน่นเด็กคนนั้น คนนี้เขาเก่งแค่ไหน ครอบครัวผมมีฐานะปานกลางพอได้อยู่ได้กิน อยากได้อะไรอยากกินอะไรก็ไม่ได้เหมือนเขา​ ตอนเด็กผมก็ตื่นตี 3 ไปหิ้วตะกร้าช่วยแม่ซื้อของมาขาย ค่าแรงก็โอวัลตินกับปาท่องโก๋เท่านั้น แม่ไม่เคยชมว่าผมดี พูดว่าที่ผมมาช่วยเพราะหวังโอวัลตินกับปาท่องโก๋ มีแต่ด่าผม ชมพี่ชาย ขนาดพี่ชายมันทำชั่วแม่ก็รักมันชมมันว่าดี แม้ตอนแกป่วยจะตายแกก็พูดว่าพี่ชายผมนี่แหละที่จะแบกศพแกขึ้นเผา บอกผมว่ามึงทำไม่ได้หรอก พูดสาดเสียเทเสียใส่ผม บางครั้งแกก็พูดเชิงประชดว่า.. เกิดมาเป็นลูกแม่ลูกกูนี้มันไม่ดีมันลำบาก..ชาติหน้าก็ไปเกิดเป็นลูกคนอื่นซะสิ จะได้ไม่ต้องลำบาก​จะได้มีแต่คนรักมีเงินมีทอง จนบางครั้งผมหน่ายโมโหตัดพ้อว่า​อย่าให้ผมเกิดมาเป็นลูกเตี่ยลูกแม่อีก​
..แต่เวลาที่เราเจ็บป่วยจะตายคนที่จะตายก่อนคือแม่กับเตี่ยผม จะขาดใจตายก่อนผมจะตายเสียอีก
วันนึงไปเจอเตี่ยกับแม่ไม่มีเงินแม้แต่จะซื้อข้าวกินเพราะท่านเอาเงินมาให้ผมใช้จ่ายเรียน กิน​เที่ยว​ แม่ผมท่านมานั่งกินปลาร้า เตี่ยผมท่านนั่งกินไข่ต้มกับข้าวเหนียวทั้งๆที่้เคี้ยวลำบากเพราะไม่มีฟันสักเล่มในปาก พอผมเห็นผมรู้เลยว่าที่เตี่ยแม่ด่าผมเพราะท่านเหนื่อยหาเลี้ยงดูผม ลำบาก​ที่ทำงานเตี่ยมันก็แกล้งเตี่ยเห็นว่าเตี่ยแก่แล้ว ตอนนั้นเตี่ยผมอายุ 78 ปั่นจักรยานประมาณ 4 กม. ไปกลับประมาณ 8 กม. ทำงานหาเงินมาเลี้ยงผม แม่อายุ 58 ตื่นตี 3​ ไปหิ้วของหนักๆมาทำกับข้าวขายเลี้ยงผม ท่านเหนื่อยลำบากพูดคุยกับใครยากไประบายกับพี่ชายมันก็จะเตะเอา ดังนั้นที่แกทำได้ก็ด่าผม เล่นกับผมนี่แหละ เอาง่ายๆเวลาเครียดๆไม่ว่าใครก็อยากระบายไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ต่อให้ลำบากก็จะหาเลี้ยงลูกให้ได้เรียนสูงๆ เรียนสาขาที่ได้เงินเยอะๆมีหน้ามีตากับเขา แต่ตัวผมนี้คิดแต่ว่าท่านทั้งสองเกลียดไม่รัก รักพี่ชายมากกว่า เลยทำตัวเหลวไหล ให้ท่านเสียใจ จบได้แค่ ปวส. นี่ก็บุญมากแล้ว

พอเราสังเกตุแล้วเอาใจเตี่ยแม่มาใส่ตน​ได้แต่ขอถอนคำพูดและความคิดเลวๆที่ว่า​ชาติหน้าจะไม่ขอมาเกิดเป็นลูกท่านทั้งสองอีก แต่กลับขอบุญใดที่ตนสะสมมาดีแล้วนั้นขอให้เกิดมาเป็นลูกเตียแม่ไปอีกทุกๆชาติ จะให้ลำบากยากแค้นยังไงก็ช่าง​จะขอเป็นลูกที่ดีมีศีลธรรมได้คอยดูแลรับใช้ท่าน ได้ทำให้ท่านสุขกายสบายใจ ให้ตนลำบากเหนื่อยยากแค่ไหนก็ช่าง ผมก็ได้พยายามหาเงินให้เตี่ยแม่ซื้อของซื้อความสะดวกสบายให้ท่าน จนผมแต่งงานมีลูกคนหนึ่ง ยิ่งทำให้ผมเข้าใจคุณของพ่อแม่ยิ่งๆขึ้นไปอีก พ่อแม่ยอมอดได้เพื่อให้ลูกได้อยู่กิน แม้มีขัดใจที่ลูกไม่เป็นตามปารถนามีด่าว่าลูก แต่ทุกครั้งที่ด่าก็กลับมาแอบร้องให้เสียใจเองทุกครั้ง พ่อแม่เป็นแบบนี้

ปัจจุบันเตี่ยผมตายไปแล้ว​สยบ​ 91 ปี แม่อายุ​ 80 กว่า​เจ็บป่วยออดๆแอดๆ ทุกวันนี้อะไรที่ทำให้แม่และทำแล้วเป็นบุญกุศลให้เตี่ยที่ตายไปได้ ผมทำหมด ใครจะว่าผมบ้าหรือสุดโต่งก็ช่าง ผมรู้แค่ว่าทำให้เตี่ยกับแม่ ตั้งใจจะทำให้ตนมีศีลธรรมดีงามตามพระพุทธเจ้าตรัสสอนเพื่อเป็นลูกที่ดีของเตี่ยกับแม่ ยิ่งหากเราเข้าถึงธรรมได้มากเท่าไหร่เตี่ยกับแม่ก็ยิ่งได้รับบุญมากเท่านั้นเพราะได้ให้กำเนิดกุลบุตรในพระพุทธศาสนานี้ขึ้นมา บุญใดที่ทำได้ผมให้พ่อให้แม่หมด ไม่มีกั๊กว่าอยากให้ตนมีบุญเยอะๆจะได้ร่ำรวยสบายๆ ไม่มีจิตคิดเอาบุญของตน เพราะผมขโมยความสุขเตี่ยกับแม่มาทั้งชีวิตของท่านแล้ว เราทำกรรมมาเยอะไม่มีบุญ ทำอะไรก็ลำบากขัดใจเขาไปทั่วมันเป็นธรรมดาอยู่แล้ว หากอธิษฐานบุญให้ตนมันจะมีค่าสักเท่าไหร่เชียวเรี่ยวแรงเรายังดียังมีโอกาสอีกเยอะแต่ทำให้พ่อแม่ที่แก่เฒ่านี้สิมีเวลาจำกัด ดังนั้นสู้เอาบุญให้พ่อแม่ยังดีกว่าท่านสมควรจะได้ ต่อให้ผมลำบากก็ช่างขอแค่เตียกับแม่ได่รับผลบุญนั้นแล้วเป็นที่สุขสบายไม่ว่าท่านจะยังมีชีวิตอยู่หรือจะละโลกนี้ไปแล้ว​ถ้าบุญผมมีหากเกิดชาติหน้าหากได้พบเจอท่านทั้ง 2 อีก​ผมก็ขอเกิดมาเป็นลูกเตี่ยกับแม่ได้ดูแลรับใช้ท่านให้มีความสุขไปทุกๆชาติ

ปัจจุบันนี้แม่ผมจะด่าจะว่าผมยังไงผมก็ยิ้มรับ​มีสติรู้ทันอารมณ์​มีสัมปะชัญญะความรู้ตัวอยู่เสมอๆและเวลาท่านด่าเสร็จได้ระบายอารมณ์ดีขึ้น​ผมก็มักจะแหย่ท่านว่าหมดโลกนี้แม่กับเตี่ยด่าผมได้คนเดียวเนาะ ผมคงจะได้บุญเยอะมากๆแล้วก็หัวเราะชอบใจ เพราะสิ่งนี้ก็เป็นหน้าที่ของบูกที่ควรทำต่อบุพการี​ทีโดนคนอื่นที่ไหนไม่รู้มาด่าเรายังทนได้​ เขาไม่เคยให้ข้าวให้น้ำเรากินด้วยซ้ำ แต่นี่พ่อแม่เช็ดขี้เช็ดเยียวเลี้ยงดูป้อนข้าวป้อนน้ำให้มาตั้งแต่เกิด​ส่งเราเรียนมีวิชาความรู้​ให้เราได้เกิดมาเจอพระพุทธศาสนา ให้ข้าวให้น้ำจนโตเท่าปัจจุบันนี้แล้ว แค่ปล่อยให้ท่านด่าไปเป็นที่สบายใจแค่นี้ทำไม่ได้รึไง​ แถมเรายังได้บุญที่ได้ทำหน้าที่ลูกตอบแทนท่าน และอบรมจิตเราไม่ให้เสพย์ความโกรธ เป็นผู้รู้คุณพ่อแม่ด้วย นี่แค่ฟังท่านด่า บุญยังมากขนาดนี้เลย

ส่วนเรื่องพี่ชายผมเมื่อก่อนก็อิจฉาที่แม่รักเขามาก​ทุกวันนี้มาคิดว่าเขาเกิดมาลำบากกว่าผมเยอะช่วยเตี่ยแม่มาเยอะพี่น้องกันเองจะไปอิจฉาริษยากันทำไม​ เพราะปารถนาคำชมคำพูดจาดีๆจากแม่เหมือนพี่ชาย ทำให้เราริษยาเขาพยายามจะเลียนแบบเขาทั้งๆที่ไม่ใช่ตนเองเลย ยิ่งทำตนยิ่งเสีย ยิ่งทำหวังคำชมมากเท่าไหร่แต่ไม่ได้รับสมความปารถนาก็ยิ่งทุกข์เสียใจ​มากเท่านั้น นี่สมดั่งคำพระุทธเจ้าตรสสอนเลยว่า ความริษยาเป็นทุกข์เหมือนไฟสุมใจตนด้วยไฟคือโทสะ​ โทมนัส​ ทำให้เป็นทุกย์ยิ่ง และ​การเอาความสุขสำเร็จไปผูกขึ้นไว้กับผู้อื่นมันเป็นทุกข์ สุขมันเกิดที่กายใจเราไม่ใช่ผู้อื่น เอาความสุขสำเร็จของตนไปผูกไว้กับสิ่งมีชวิตที่มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา และดับสูญไปเป็นที่สุด มันจะเป็นสุขสำเร็จยั่งยืนนานได้ยังไง ดังนั้นทำไว้ในใจที่กายใจตนพอแล้ว ขนาดกายใจตนยังบังคับไม่ได้​ไม่ให้ริษยาเขา ไม่ให้โกรธเคืองพ่อแม่ยังไม่ได้ แล้วจะไปเอาอะไรกับผู้อื่นภายนอกเล่า

ผมระลึกตรึกนึกอย่างนี้ๆเสมอ ทุกวันนี้สุขผมไม่เอาไปขึ้นไว้กับความริษยาผู้อื่น แต่สุขโสมนัสผมมีจากการที่ได้ทำให้เตี่ยแม่สุขกายสบายใจ สุขที่ได้ทำให้ท่าน ยินดีให้สุขเกิดมีสำเร็จแก่ท่าน​และจะดีมากๆถ้าผมมีโอกาสได้ทำให้ท่านด้วยตัวเอง แต่ไม่ปารถนาเจาะจงว่าท่านต้องสุขได้จำเพาะที่เราทำให้  ยินดีแต่ไม่ปารถนาอย่างนี้







ทีนี้เรากลับมาเรื่องของคุณ

ข้อแรกเลย..คุณอาจจะอธิษฐานแบบที่ผมตั้งใจไว้นี้ก่อนจะมาเกิดเป็นลูกท่านในชาตินี้ก็ได้​ดังนั้นก็ทำความสงบใจไว้ แล้วตั้งใจทำให้ดีที่สุดตามคำอธิษฐานนั้นเสีย ถึงแม้ไม่ได้อธิษฐานไว้ก็ระลึกอยู่เสมอๆว่าทำให้ท่านตอนนี้ที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ยังดีกว่าท่านตายแล้วค่อยไปทำให้ท่านอย่างผมแล้วจะมาเสียใจภายหลัง เพราะท่านไม่ได้เห็นและไม่รู้ว่าท่านจะได้รับมากน้อยเพียงใด
แต่แม้ท่านจะมีชีวิตอยู่หรือตายแล้วเราในฐานะลูกก็ต้องทำบุญให้ท่านได้รับบุญกุศลนั้นสืบไปตลอดชาติจึงขึ้นชื่อว่า.. ลูกกตัญญู​กตเวที

ดังนั้นคุณก็เพียงทำหน้าที่ของลูกให้ดีต่อไป​ ระลึกถึงคุณพ่อแม่ไว้ให้มากๆ ไม่มีพ่อแม่ก็ไม่ได้เกิด กายนี้ได้จากพ่อแม่ ตอนนี้เราเรียนอยู่ก็ทำได้ประมาณนี้ ถ้าท่านใช้งานตอนกำลังยุ่งๆอยู่ก็แค่บอกท่านว่า..รอแปปนึงนะคะแนน​หนูทำสิ่งนี้ๆอยู่ขอจดนี่แปปนึง​ เดี๋ยวจะรีบทำให้ค่ะ..พูดแค่นี้ก็จบแระคำพูดหวานอย่างนี้ ถ้าท่านด่าเราก็แค่ฟังแล้วคิดว่ากำลังทำความกตัญญูกตเวทีต่อท่านอยู่​เราจะไม่เสพย์ความโกรธ จะยินดีให้ท่านด่าด้วยความเต็มใจในฐานะลูก​แล้วยิ้มในใจได้เลยว่าตนได้ทำดีในฐานะลูกอีกแล้ว อบรมจิตไม่หวั่นไหวไปกับความโกรธ จิตเรานี้ช่างสูงส่งนัก ท่านเรียดจิตใจสูงเหนือโกรธ​ กิเลสหยังไม่ถึง

ข้อที่สอง เลิกเอาความสุขสำเร็จของคุณไปผูกขึ้นไว้กับผู้อื่นละจิตที่ริษยาในน้องนั้นไปเสียเพราะมันหาประโยชน์สุขใดๆไม่ได้นอกจากทุกข์ คุณอาจจะพูดว่าคุณไม่ได้ริษยาน้อง..แต่เพียงแค่คุณคิดว่าทำไมกับน้องแม่ไม่เห็นเป็นแบบนี้​ แต่ทำอีกอย่างที่ดีกว่าตน อันนี้ก็ริษยาแล้วในทางธรรม.. เราเป็นพี่ควรทำตัวให้เป็นตัวอย่างจึงจะสอนน้องได้ และ​การปฏิบัติดีของเราในภายหน้าจะเป็นคำสอนแก่ลูกและชนรุ่นหลังต่อไปครับ
ดังนั้นให้ทำไว้ในใจต่อพ่อแม่ด้วยความรู้คุณท่านที่ให้กำเนิดเลี้ยงดูเรามา และ​ไม่ริษยาน้อง ลองคิดดูว่าถ้าน้องคุณเจอใช้งานแต่คุณเป็นพี่กลับสบายปล่อยตัวตามใจนี่สิน่าละอายสอนเขาไม่ได้ไม่พอยังดีสู้เขาไม่ได้ทั้งๆที่ตนเกิดก่อนเขาและเป็นพี่เขา
ด้วยเหตุอย่างนี้ๆให้ทำไว้ในใจถึงความไม่ติดใจข้องแวะสิ่งไรๆในโลก มันก็แค่สิ่งหนึ่งๆที่บังเอิญเกิดขึ้นผ่านเข้ามาให้เรารับรู้เท่านั้น

ลองคิดดูสิครับว่า..ตั้งแต่ลคุณเกิดมาในชีวิตคุณมันมีแค่ 3​ สิ่ง​ให้คุณสัมผัสได้ด้วยใจเสมอมา นั่น​คือ​ ​ได้พบเจอสิ่งที่ชอบหรือรัก,  ได้พบเจอสิ่งที่ชังหรือเกลียด และ​ ได้พบเจอสิ่งที่เฉย​ๆหรือไม่ยินดียินร้าย มันมีแค่สามอย่างนี้เท่านั้น จนอายุขนาดนี้แล้วควรจะชินชาและวางเฉยกับมันได้แล้ว ก็แค่สิ่งที่ไม่เป็นที่รักที่จำเริญใจเกิดมีขึ้นหรือดับไปเท่านั้นเอง ให้คิดเพียงแค่คุณได้ทำดีต่อไป ทำหน้าที่ของลูกและพี่ให้บริบูรณ์ดีพร้อมและสิ่งที่คุณทำมันเอื้อเฟื้อเกื้อกูลประโยชน์สุขต่อผู้อื่นได้ก็พอ

ผมไม่แน่ใจว่ากระทู้นี้มีโพสท์แล้วในเวบพลังจิตหรือวัดเกาะแล้วนำมาโพสท์ใหม่ในเวบนี้หรือไม่ ถ้ามีโพสท์แล้วลองไปดูครับคงมีคนตอบเยอะแยะเลย





แต่ถ้าหากคุณไม่ได้ไปโพสท์ที่อื่นไว้หรือก๊อปปี้มาโพสท์..เมื่อคุณอ่านจบแล้วให้ตั้งใจมั่นที่จะทำดังนี้คือ

1. หน้าที่ของลูก
2. เลิกเอาความสุขสำเร็จของตนไปผูกขึ้นไว้กับผู้อื่น เพราะมันหาประโยชน์สุขใดๆไม่ได้นอกจากทุกข์ ด้วยเหตุที่ว่าเขาหรือสิ่งต่างๆเหล่านั้นมันไม่มีความเที่ยงแท้ยั่งยืน มีความแปรปรวนไปเป็นธรรมดา และ​ดับไปเป็นที่สุด บังคับไม่ได้ ไม่ใช่ตัวตน
3. ไม่ติดใจข้องแวะสิ่งใดๆ เพราะติดใจข้องแวะไปก็หาประโยชน์สุขใดๆไม่ได้นอกจากทุกข์​ติดใจข้องแวะไปก็เอาไฟมาสุมเผากายใจตนเปล่าๆ คนเราต้องเผชิญอยู่ 3 สิ่ง ในชีวิตอยู่ทุกวัน ทุกเวลา ทุกๆขณะจิต นั่นคือ
ก. สิ่งที่พอใจยินดี หรือชอบใจรักใคร่,
ข. สิ่งที่ไม่พอใจยินดี หรือเกลียดชัง,
ค. สิ่งที่ไม่ยินดี-ยินร้าย ไม่สุขไม่ทุกข์ หรือเฉยๆ
ดังนั้นเวลาเจอสิ่งที่เราเกลียดชัง โมโหโทโสโกรธแค้นผูกเวรพยาบาท ก็เพียงสำเหนียกว่า มันก็แค่สิ่งอันไม่เป็นที่รักที่พอใจจำเริญใจอีกสิ่งหนึ่ง..ที่กำลังเกิดมีขึ้นในตอนนี้ๆ เวลานี้ๆ ขณะนี้ๆอยู่ก็เท่านั้นเอง ซึ่งมันมีเกิดขึ้นอยู่เป็นปกติจิตของมันทุกวันอยู่แล้วเพียงแค่มันกำลังเกิดขึ้นในตอนนี้ก็เท่านั้นเอง แล้วก็ละความติดใจข้องแวะในสิ่งที่ไม่พอใจยินดีนั้นๆไปเสียเพราะมันหาประโยชน์สุขไม่ได้ ข้องแวะมันไปก็มีแต่ทุกขื ถูกทุกข์หยั่งเอาแล้วเท่านั้น ให้ทำความสงบใจไว้ รู้อยู่โดยสงบนิ่งเหมือนสมัยเด็กยืนหน้าเสาธง เดี๋ยวมันก็จบไป อย่างนี้เรียกว่าใช้ปัญญาไม่ใช้อารมณ์ความรู้สึกนึกคิด
4. ตั้งใจมั่นทำในสิ่งที่เกื้อกูลประโยชน์สุขแก่คนในครอบครัวเป็นต้น จนถึงญาติสนิทมิตรสหายและผู้อื่นสืบไป
5. พุทโธ​ หายใจเข้าระลึก"พุท" หายใจออกระลึก"โธ" มีพุทโธกำกับเป็นลมหายใจเข้าออก ให้เราสำเหนียกไว้เลยว่าพุทโธนี้แหละคือปัจจุบัน

หากคุณทำดังนี้จนเป็นอุปนิสัยแล้ว คุณจะมีจริตเป็นกุศล และ​อิ่มเอิบใจทุกครั้งที่ได้ทำ ได้รับความอิ่มเต็มใจ ไม่ต้องการสิ่งใดอีกเพราะมันอิ่ม ท่านเรียกว่า บารมี​อันแปลว่าเต็มกำลังใจตน จะสงบเย็นใจเป็นที่สบาย รื่นรมย์ชื่นบานใจ ​และ​มีอานิสงส์ให้จิตคุณตั้งมั่นดี​ไม่ฟุ้งซ่านในอารมณ์ เกิดปัญญารู้รอบดีนัก







หัวข้อ: พ่อแม่ไม่ยอมรับฟัง ดุด่าด้วยถ้อยคำรุนแรงทำอย่างไรดี
เริ่มหัวข้อโดย: เกียรติคุณ ที่ มีนาคม 18, 2016, 12:07:43 AM
ลองปฏิบัติดูครับ ได้หรือไม่ได้อยู่ที่คุณทำเอง ครูผมสอนว่า..สุขทางธรรมมันเริ่มจากยากลำบากไปสู่ความสุขสบายไม่มีสิ้นสุด ยิ่งหวนระลึกถึง ยิ่งอิ่มเอมเป็นสุข​เพราะธรรมเหล่านี้เป็นธรรมที่พระะุทธเจ้าตรัสสอนเพื่อเป็นทางออกจากทุกข์ไว้ดีแล้ว​ผมแค่นำข้อธรรมบางข้อและแนวเจริญปฏิบัติพลิกแพลงการทำไว้ในใจบางส่วนมาแนะนำแบ่งปันให้คุณปฏิบัติทำได้ในกาลทุกเมื่อเพื่อออกจากทุกข์ เมื่อออกจากทุกข์ได้แล้ว​ ให้คุณรู้ไว้เลยว่า พระพุทธเจ้าทรงได้แสดงและจำแนกธรรม​สั่งสอนเพื่อทางออกจากทุกข์ไว้ดีแล้ว​เพียงแค่เราโอปะนะยิโกก็ถึงธรรมนั้นได้ ตื่นนอนและก่อนนอนให้กราบ ๕ ​ครั้งนี้​พระพุทธ​พระ​ ธรรม​ พระสงฆ์ พ่อแม่-บุพการี​ ครูบาอาจารย์​ทำไปเรื่อยๆชีวิตคุณก็จะเจริญขึ้นไปเรื่อยๆครับ


หัวข้อ: พ่อแม่ไม่ยอมรับฟัง ดุด่าด้วยถ้อยคำรุนแรงทำอย่างไรดี
เริ่มหัวข้อโดย: อารี ที่ เมษายน 10, 2016, 09:01:15 PM
เคยเป็นแบบนี้มาก่อนเหมือนกัน แต่ต้องอดทน อีกไม่นานเดี๋วก็โต มีงาน มีเงิน อดทนหน่อย ถ้าฆ่าตัวตายต้องตกนรก อย่างน้อย 500 ชาติ มันไม่ค่อยคุ้ม และการมีกรรมไม่ดีคิดไม่ดีกับพ่อแม่ในพระพุทธศาสนาถือว่าปาบมาก - แนะนำให้ เจริญ คาถา ยอดพระกัณฑ์ไตรปิฎก ครบอายุ +1 ภายใน 7 วัน, ก่อนสวด ยอดพระกัณฑ์ไตรปิฎก ให้ สมาทานศีล 5, ขอขมาพระรัตนตรัย และ ขอขมา พ่อแม่ (อธิษฐานขอขมาท่านก่อน) คาถานี้คาถาสักสิทธิ์มาก ให้หาฉบับเก่ามาสวด สวดให้ครบอายุ +1 ทำให้ได้อย่างน้อย 2 ครั้ง = 14 วัน ไม่ให้ขาดแม้แต่วันเดียว อดทนหน่อย

ครั้งแรก เมื่อสวดครบอายุ + 1, เมื่อถึงวันที่ 7, อุทิศให้ตัวเองก่อน  
อธิษฐาน "ด้วยอำนาจของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และบุญบารมีใดที่ข้าพเจ้าเคยบําเพ็ญมาจากอดีตชาติจนถึง บันจุบันนี้ ขอให้บุญบารมีทั้งหลาย จงช่วยให้ข้าพเจ้าพ้นจากทุกข์ที่เป็นอยู่ขณะนี้"
ครั้งที่ สอง สวดครบอายุ + 1, อุทิศให้พ่อแม่ และ เทวดาที่ดูแลท่าน "ด้วยอำนาจของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และบุญบารมีใดที่ข้าพเจ้าเคยบําเพ็ญมาจากอดีตชาติจนถึง บันจุบันนี้ ขอให้บุญบารมีทั้งหลายจงไปถึงคุณพ่อคุณแม่ ขอให้ท่านจงอยู่เย็นเป็นสุข และขอให้บุญนี้จงไปถึง เทวดาที่ดูแลท่านทั้งสอง เมื่อเทวดาได้รับบุญของข้าพเจ้าแล้ว ขอให้เทวดาจงช่วยดลใจพ่อแม่ของข้าพเจ้าให้เมตตาข้าพเจ้าด้วยเถิด ขอให้บุญที่ข้าพเจ้าที่จะอุทิศไปให้นี้จงเปลี่ยนเป็นสิ่งที่พวกท่านรับได้ด้วยเถิด สาธุ" (( ต้องอธิษฐานเปลี่ยนบุญ วิญญาณชั้นต่ำรับไม่ได้)) ((ต้องใช้อำนาจของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เบิกบุญจ่ากอดีตชาติ และ แผ่อุทิศบุญอะไรให้เริ่มด้วย อำนาจของพระรัตนตรัย ไม่งั้นบุญไปไม่ถึง แผ่ยากมาก))
*อย่าลืม กรวดน้ำลงดิน ด้วยอำนาจของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อุทิศให้เจ้าแม่พระธรนีเป็นสักขีพยานในการทำบุญของลูกวันนี้ *

ก่อนจะอุทิศบุญให้ใคร ต้องสมาทาน มีศีล ให้อภัย ใจสะอาดใจดีก่อน ไม่งั้นอุทิศบุญไม่ออก
อุทิศให้ตัวเองก่อน  แล้วจงอุทิศให้พ่อแม่ แล้วไปขอขมาท่าน กราบเท้าท่าน
ถ้ากรรมหนักจะต้องทำไปเรื่อยๆ อย่ายอมแพ้ ศีล 5 สมาทานก่อนนอนได้ ศีลจะบริสุทธิ์
ไม่ต้องอุทิศให้เจ้ากรรมนายเวร อย่าใช้ค่ำว่าเจ่ากรรมนายเวร ถ้าจะอุทิศให้ใช้พูดว่าผู้ที่เราได้ล่วงเกิน กรวดน้ำลงดิน อุทิศให้เจ้าแม่พระธรนีเป็นสักขีพยานในการทำบุญของลูกวันนี้ *  ให้สิ่งสักสิทธิ์เป็นสักขีพยานให้มันอโหสิกรรม ไม่งั้นมันได้บุญเราไปฟรีๆ และทำให้เราเดือนร้อนอีก

กรรมนั้นมีจริงไหม? มีจริงเพราะเคยเกิดขึ้นกับผู้เขียนเอง สิ่งลี้ลับที่ตามองไม่เห็น เราพิสูจน์ได้ด้วยตัวเราเองถ้าเราตั้งใจปฏิบัติ กฎแห่งกรรมคือธรรมชาติที่เราหนี้ไม่ได้ ธรรมมะ คือ ธรรมชาติ
ธรรมชาติ ที่เห็นอยู่ ก็ คือ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และ ก็ดับไป โลกนี้มีอะไรที่แน่นนอนบ้าง??
แม้ เรามีทุกข์มาก มันก็ไม่ได้จะทุกข์ตลอด ขอแค่เราอดทน เมื่อถึงเวลามันก็ไปเอง  

บทความและไฟล์ภาพ ในเว็บไซต์แห่งนี้อาจนำมาจากเว็บไซต์อื่นๆ ที่ทีมงานคิดว่ามีประโชยน์ต่อผู้อ่าน โดยให้ผู้อ่านเกิดควมบันเทิง และให้ความรู้ โดยที่เราจะให้เครดิตทุกครั้งที่นำมา หากไฟล์ภาพหรือบทความใด ที่เจ้าของลิขสิทธิ์ไม่ต้องการให้นำมาแสดง โปรดแจ้งมาที่ tumcomputer@hotmail.com ทางทีมงานจะได้นำบทความนั้นออกทันที ขอบคุณครับ


เว็บนี้จัดทำโดย นายสุรัตน์ ศรลัมภ์ และครอบครัว อุทิศบุญให้เจ้ากรรมนายเวร และผู้มีพระคุณ

HTML Hit Counters