เมษายน 25, 2024, 02:06:43 PM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา ปฏิทิน เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: 1 2 [3] 4 5 ... 10
 21 
 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 11, 2024, 12:50:06 PM 
เริ่มโดย มุ่ยซัน - กระทู้ล่าสุด โดย มุ่ยซัน
บาปชั่วตัวแรกที่เกิดตลอดเวลา
คือรู้ไม่ทันหลงริษยาว่าร้ายไปทั่ว   จึงเอาดีกันไม่ได้    เพราะไม่รู้ว่าดีทั้งหมด    อยู่ตรงที่รู้ทัน    เพราะอวิชชารู้ไม่ทัน     มันคือเหตุร้ายทั้งหมด   คิดทำพูดด้วยความรู้ไม่ทันมันจึงชั่วร้ายทุกอย่าง   ริษยาว่าร้าย    ได้แม้แต่กระทั่งพระ    ที่บิณฑบาต   ว่าเที่ยวขอเขากิน   ที่จริงแล้วบิณฑบาตดีบริสุทธิ์ด้วยรู้ทันไม่ได้ฆ่าโกงเบียดเบียนขอใครทำใจให้รู้ทันรับแต่ของที่คนใจดีให้    ไม่ได้รบกวนใครให้หนักใจ   แต่เจ้าตัวริษยาว่าร้าย ก็ตามผูกเวรตามด่าว่าให้โทษหนักจนได้   มันจึงทำโลกนี้ให้ฉิบหาย   สมกับสุภาษิต  ที่ว่าความริษยา   ยังโลกนี้ให้ฉิบหาย   เพราะทุกอย่าง   มันเป็นทุกข์   เปลี่ยนแปลงไวกว่าแสง    แรงเร็วกว่าคิด  ใครรู้ทันจะคิดดับได้   ก็พ้นทุกข์เปลี่ยนแปลง   หมดกิเลสชอบชังเฉย   ด้วยใส่ใจขยันสังเกต   ระลึกรู้ใจตั้งมั่น   รู้ทันจะคิดดับ   ทุกลมหายใจ   เข้าดับออกดับ   จะดับริษยาว่าร้ายบาปตัวแรกได้หมด   ต้องรู้ทันถึงได้แล้วได้ล้านล้านเท่า    ชวยเอาแชร์   ให้ชาวโลกเลิกริษยากัน   มองกันด้วยสายตาอันน่ารัก  สาธุรู้ทันเมตตาธรรมค้ำจุนโลก

 22 
 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 11, 2024, 12:41:21 PM 
เริ่มโดย มุ่ยซัน - กระทู้ล่าสุด โดย มุ่ยซัน
เรียนธรรมไม่ยาก
เพียงพิจารณา   รู้ทันให้ถึง   เหตุแห่งธรรมทุกอย่าง   เพราะธรรมทั้งหมด    ก็จะมารวมอยู่ที่คิดปรุงแต่งทั้งสิ้น    ศึกษาปฏิบัติธรรม   นำมาทุกสาย   แล้วสอบเทียบ    รูู้ทันได้ถึงเหตุแห่งธรรมนั้นได้    ก็พึงปฏิบัติวิจัยให้ถึง    จนสิ้นสงสัย รู้ทันได้ว่า   ธรรมอันใดแลย่อมเกิดแต่เหตุดับไปได้ก็เพราะเหตุ  ธรรมใดไปไม่ถึงรู้ทัน    เหตุแห่งธรรมนั้น  ก็พึงวางลงไว้   อย่าเก็บเอาไปทะเลาะกัน   เพราะเรื่องของธรรม    ก็คือเรื่องคิดปรุงแต่ง   เปลี่ยนแปลงไวกว่าแสง      แรงเร็วกว่าคิดจนรู้ไม่ทัน    ที่พระพุทธเจ้าสอนว่า     คิดอย่างไรก็ได้เช่นนั้น   จึงต้องรู้ให้ทันการคิด   ว่าคิดดี   หรือคิดร้าย   ถ้าคิดหลงรู้ไม่ทัน   ยึดบ้าโง่อวดชั่ว   ก็เป็นธรรมร้าย    ถ้าคิดขยันใส่ใจสังเกต   ระลึกรู้ใจตั้งมั่น    รู้ทันจะคิดดับ  ทุกลมหายใจ    เข้าดับออกดับ   ก็เป็นธรรมดี   หลุดพ้นจากธรรมริษยา    ว่าร้ายได้หมด   ต้องรู้ทันถึงได้แล้วได้เกินคาดต้องช่วยกันประกาศ     เอาบุญบารมี   แผ่ให้ชาวโลก  ได้รู้ทันที่สุขสวยรวยฉลาด   ไม่ประมาทคิดแต่ดี   สาธุรู้ทัน จบเอกปฏิสัมภิทาสี่นิสัยศาสตร์

 23 
 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 11, 2024, 12:40:40 PM 
เริ่มโดย มุ่ยซัน - กระทู้ล่าสุด โดย มุ่ยซัน
คุณอย่าเสียใจนะ
ที่นำธรรมหลงรู้ไม่ทัน   เข้าสู่เอไอ   แล้วไม่มีใครดู   ก็ได้อวดร้ายไปแบบไม่ฟรีแล้วไง   แต่ถ้าต้องการแก้ไข    ก็ต้องมาเปลี่ยนนิสัย    มาหัดรู้ทันจะคิดทำพูด    ให้ได้ซะก่อน รีบใส่ใจขยันสังเกต   ระลีกรู้ใจตั้งมั่น   รู้ทันจะคิดดับ    ทุกลมหายใจเข้าดับออกดับ   ซึ่งได้ปฏิสัมภิทาสี่แตกฉานในอัถธรรม   คำพูดฉลาด    แชร์ไปด้วยการรู้ทัน   มันจะไดัไม่โดนว่าร้ายใส่เอา   แล้วจะมีคนสนใจ   นำไปพิจารณาพิสูจน์เห็นผลจริง  มันจึงต้องรู้ทันเหตุทุกปัญหา   ถึงจะตอบได้    แล้วได้ล้านล้านเท่า    รีบเอาบุญแชร์   ให้ชาวโลกได้รู้ทัน    แก้ได้ทุกปัญหา    สาธุรู้ทันยอดปัญญา ปฏิสัมภิทาสี่

 24 
 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 11, 2024, 12:40:15 PM 
เริ่มโดย มุ่ยซัน - กระทู้ล่าสุด โดย มุ่ยซัน
บาปชั่วตัวแรกที่เกิดตลอดเวลา
คือรู้ไม่ทันหลงริษยาว่าร้ายไปทั่ว   จึงเอาดีกันไม่ได้    เพราะไม่รู้ว่าดีทั้งหมด    อยู่ตรงที่รู้ทัน    เพราะอวิชชารู้ไม่ทัน     มันคือเหตุร้ายทั้งหมด   คิดทำพูดด้วยความรู้ไม่ทันมันจึงชั่วร้ายทุกอย่าง   ริษยาว่าร้าย    ได้แม้แต่กระทั่งพระ    ที่บิณฑบาต   ว่าเที่ยวขอเขากิน   ที่จริงแล้วบิณฑบาตดีบริสุทธิ์ด้วยรู้ทันไม่ได้ฆ่าโกงเบียดเบียนขอใครทำใจให้รู้ทันรับแต่ของที่คนใจดีให้    ไม่ได้รบกวนใครให้หนักใจ   แต่เจ้าตัวริษยาว่าร้าย ก็ตามผูกเวรตามด่าว่าให้โทษหนักจนได้   มันจึงทำโลกนี้ให้ฉิบหาย   สมกับสุภาษิต  ที่ว่าความริษยา   ยังโลกนี้ให้ฉิบหาย   เพราะทุกอย่าง   มันเป็นทุกข์   เปลี่ยนแปลงไวกว่าแสง    แรงเร็วกว่าคิด  ใครรู้ทันจะคิดดับได้   ก็พ้นทุกข์เปลี่ยนแปลง   หมดกิเลสชอบชังเฉย   ด้วยใส่ใจขยันสังเกต   ระลึกรู้ใจตั้งมั่น   รู้ทันจะคิดดับ   ทุกลมหายใจ   เข้าดับออกดับ   จะดับริษยาว่าร้ายบาปตัวแรกได้หมด   ต้องรู้ทันถึงได้แล้วได้ล้านล้านเท่า    ชวยเอาแชร์   ให้ชาวโลกเลิกริษยากัน   มองกันด้วยสายตาอันน่ารัก  สาธุรู้ทันเมตตาธรรมค้ำจุนโลก

 25 
 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 11, 2024, 11:50:12 AM 
เริ่มโดย มุ่ยซัน - กระทู้ล่าสุด โดย มุ่ยซัน
รู้ทันชีวิตไม่ยาก
อย่างที่คิด    ถ้าคิดอย่างรู้ทัน  ก็สมควรคิด   แต่ถ้าคิดแบบหลงยึดรู้ไม่ทัน   มันก็ไม่สมควรที่จะคิด     ถ้าทำด้วยการรู้ทันได้   ก็สมควรทำ   แต่ถ้าหลงยึดรู้ไม่ทัน   ก็ไม่สมควรทำ    จะพูดด้วยความรู้ทันที่มีคุณประโยชน์    จึงสมควรพูด   ถ้าพูดหลงรู้ไม่ทัน   ยึดบ้าโง่อวดชั่ว  ก็ไม่สมควรพูด  เพราะความดีที่รู้ทัน   มีคุณประโยชน์    สมควรทำเป็นประจำ   หลงรู้ไม่ทันมันจะชั่วร้ายไปทุกอย่าง     จึงอย่าประมาท   ใส่ใจสังเกต  ระลึก รู้ใจ  ตั้งมั่น   รู้ทันจะคิดดัง   ทุกลมหายใจ    เข้าดับออกดับ   จึงจะดับเหตุร้าย    ได้จริง   เพราะทำชั่วได้ดีมีที่ไหน   ทำดีได้ดีมีทั่วไป   รู้ทันถึงจะได้   แล้วจะได้ล้านล้านเท่าช่วยเอาบ

 26 
 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 07, 2024, 03:36:30 AM 
เริ่มโดย มุ่ยซัน - กระทู้ล่าสุด โดย มุ่ยซัน
รู้ทันตาหูจมูกลิ้นกายใจ
เป็นอินทรีย์สังวร    สำรวมดีมีประโยชน์   ไม้เกิดทุกข์โทษ   หรือโกรธชอบเฉย    มีท่าทางน่ารักทั้งน่าเคารพ   เหมือนพระอัจสะชิที่เป็นอรหันต์    พระสารีบุตรก็ยังรักเคารพ    รู้ทันปฏิบัติตาม   ว่าทุกออย่าง   เกิดจากเหตุ    รู้ทันเหตุก็ดับ   ได้เป็นโสดา   เราจึงควรใส่ใจขยันสังเกตระลึกรู้ใจ   ตั้งมั่น   รู้ทันจะคิดดับ   ทุกลมหายใจ    เข้าดับออกดับ  รักษานิสัยให้สุขสวยรวยฉลาด   ทั้งน่ารักเคารพ   รู้ทันถึงจะได้   แล้วได้ล้านล้านเท่า    รีบช่วยเอาแชร์ให้ชาวโลกได้รู้ทันสวย งามสง่า  น่ารักน่าเคารพ  สาธุรู้ทันเรียบร้อยทุกเรื่อง

 27 
 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 06, 2024, 03:06:56 AM 
เริ่มโดย มุ่ยซัน - กระทู้ล่าสุด โดย มุ่ยซัน
รู้ทันตาหูจมูกลิ้นกายใจ
เป็นอินทรีย์สังวร    สำรวมดีมีประโยชน์   ไม้เกิดทุกข์โทษ   หรือโกรธชอบเฉย    มีท่าทางน่ารักทั้งน่าเคารพ   เหมือนพระอัจสะชิที่เป็นอรหันต์    พระสารีบุตรก็ยังรักเคารพ    รู้ทันปฏิบัติตาม   ว่าทุกออย่าง   เกิดจากเหตุ    รู้ทันเหตุก็ดับ   ได้เป็นโสดา   เราจึงควรใส่ใจขยันสังเกตระลึกรู้ใจ   ตั้งมั่น   รู้ทันจะคิดดับ   ทุกลมหายใจ    เข้าดับออกดับ  รักษานิสัยให้สุขสวยรวยฉลาด   ทั้งน่ารักเคารพ   รู้ทันถึงจะได้   แล้วได้ล้านล้านเท่า    รีบช่วยเอาแชร์ให้ชาวโลกได้รู้ทันสวย งามสง่า  น่ารักน่าเคารพ  สาธุรู้ทันเรียบร้อยทุกเรื่อง

 28 
 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 04, 2024, 04:17:34 PM 
เริ่มโดย เกียรติคุณ - กระทู้ล่าสุด โดย เกียรติคุณ
การดูลมในอาณาปานสติเพื่อวสีฌาณ

`การดูลมในอาณาปานสติเพื่อวสีฌาณ ธรรมนี้เกิดเห็นโดยส่วนตัวแต่ผมผู้เดียว ไม่ใช่โดยตรงจากที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระบรมศาสดาตรัสสอน จึงไม่ใช่ธรรมของจริงแท้ ยังเป็นเพียงธรรมปลอม หากแต่เป็นความรู้ด้วยการเข้าถึงสภาวะธรรมโดยส่วนตัวของปุถุชนอย่างผมพอจะมีปัญญาเข้าถึงตามธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนไว้ดีแล้วนั้นได้ เคยเห็นจิตกระทำแล้วบ้าง อาจแม้เพียงโลกียะ หรือจิตหลอกจิตก็ตามแต่ แต่ที่เขียนมาทั้งหมดนี้เพื่อชี้ให้เห็นว่า เราฝึกสมาธิเพื่อสิ่งใด การเข้าฌาณ คลองฌาณเบื้องต้นนั้น จิตมีมโนกรรมอย่างไรเท่านั้น มิได้อวดอ้างแอบอ้างความสืบต่อหรือแจ้งว่าตนบรรลุธรรมใด เป็นเพียงบันทึกกรรมฐานส่วนตัวของผมเท่านั้น`

*แต่หากธรรมนี้ทางนี้ทำให้ท่านผู้อ่านเข้าใจและให้ผลได้ ให้รู้ไว้เลยว่าธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนให้ผลได้ไม่จำกัดกาล และมีคุณมาก มีดังนี้เป็นต้นครับ*

1. ดูลมหายใจเข้ายาวหรือสั้น ดูลมหายใจออกยาวหรือสั้น
    - เพื่อรู้ว่าขณะที่จิตเราเริ่มนิ่งขึ้น ละเอียดขึ้น ลมหายใจมีลักษณ์อย่างไร ลมหายใจนั้นสั้นหรือยาว แรงหรือเบา ช้าหรือเร็ว

2. เมื่อจิตละเอียดขึ้น นิ่งขึ้น สงบขึ้น น้อมเข้าสมาธิ ลมหายใจเป็นอย่างไร
    - จิตเราจับสภาวะใดของลมหายใจ..ต้นลมหายใจเข้า-ต้นลมหายใจออก หรือ ตามลมหายใจที่เคลื่อนเข้าจากต้นลมไปจนสุดปลายลม-ตามลมหายใจที่เคลื่อนออกจากต้นลมไปจนสุดปลายลม หรือ จิตทำความรู้ลมเคลื่อนเข้า..จิตจับที่ปลายลมหายใจเข้า-จิตทำความรุ้ลมเคลื่อนออก..จิตจับที่ปลายลมหายใจออก หรือ จิตจับนิมิตใดตามลมหายใจเข้า-จิตจับนิมิตใดตามลมหายใจออก หรือ เกิดนิมิตทางลมหายใจเข้า-ออกเเมื่อจิตเคลื่อเข้าสมาธิ
    - ลมหายใจมีลักษณะอย่างไร ละเอียดอ่อนบางเบาเหมือนแทบไม่หายใจแต่รู้ว่ามีลมเคลื่อนหล่อเลี้ยงกายอยู่ หรือ ลมหายใจแรง ลมหายใจยาวหรือสั้น (สังเกตุที่ปลายลมหายใจ ดูปลายลมหายใจเข้า ปลายลมหายใจออก จะเข้าใจสภาวะกายสังขาร คือ ลมหายใจที่น้อมเข้าสมาธิ) หรือ ลักษณะนิมิตและการจับนิมิตของจิตเป็นอย่างไร กล่าวคือ ..นิมิตมีลักษณะอย่างไร อาการของนิมิตเป็นแบบไหน อาการของจิตที่จับนิมิตในตอนนั้นเป็นอย่างไร อารมณ์ของจิตต่อนิมิตเป็นไฉน จิตจับนิมิตแบบใด จับในเบื้องหน้า จับเป็นพื้นกว้าง หรือ จิตจับนิมิตเบื้องหน้าไว้ มีใจหน่ายออกจากนิมิตเบื้องหน้า หรือ จิตจับนิมิตเบื้องหน้าไว้ มีใจน้อมออกไปสู่ความว่าง ความสงบ ความไม่มี หรือจิตเห็นนิมิตเบื้องหน้าอยู่นั้นด้วยความไม่มีอะไรเป้นที่ว่าง โล่ง เป็นที่สบาย เป้นสิ่งไม่มี แล้วน้อมใจออกยกจิตขึ้นไปในความไม่มี

3. เมื่อถึงสมาธิจิตอยู่ที่ลมหายใจ หรือทิ้งลมหายใจ หรือคงลมหายใจไว้ หรือจิตจับที่นิมิตอื่นใดเฉพาะหน้า ไม่สนกาย ไม่สนสิ่งภายนอก ไม่สนลมหายใจ ไม่ใช้ความคิดแล้ว กล่าวคือ..ในสภาวะนั้นๆมีลักษณะอาการอย่างไร









.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.


ต่อ......

 29 
 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 04, 2024, 03:03:59 PM 
เริ่มโดย เกียรติคุณ - กระทู้ล่าสุด โดย เกียรติคุณ
ฝึกสมาธิเพื่ออะไร จิตทำมโนกรรมอย่างไรจึงเข้าสู่ฌาณได้ง่าย

ฝึกสมาธิเพื่ออะไร จิตทำมโนกรรมอย่างไรจึงเข้าสู่ฌาณได้ง่าย

`ธรรมนี้เกิดเห็นโดยส่วนตัวแต่ผมผู้เดียว ไม่ใช่โดยตรงจากที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระบรมศาสดาตรัสสอน จึงไม่ใช่ธรรมของจริงแท้ ยังเป็นเพียงธรรมปลอม หากแต่เป็นความรู้ด้วยการเข้าถึงสภาวะธรรมโดยส่วนตัวของปุถุชนอย่างผมพอจะมีปัญญาเข้าถึงตามธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนไว้ดีแล้วนั้นได้ เคยเห็นจิตกระทำแล้วบ้าง อาจแม้เพียงโลกียะ หรือจิตหลอกจิตก็ตามแต่ แต่ที่เขียนมาทั้งหมดนี้เพื่อชี้ให้เห็นว่า เราฝึกสมาธิเพื่อสิ่งใด การเข้าฌาณ คลองฌาณเบื้องต้นนั้น จิตมีมโนกรรมอย่างไรเท่านั้น มิได้อวดอ้างแอบอ้างความสืบต่อหรือแจ้งว่าตนบรรลุธรรมใด เป็นเพียงบันทึกกรรมฐานส่วนตัวของผมเท่านั้น`

*แต่หากธรรมนี้ทางนี้ทำให้ท่านผู้อ่านเข้าใจและให้ผลได้ ให้รู้ไว้เลยว่าธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนให้ผลได้ไม่จำกัดกาล และมีคุณมาก มีดังนี้เป็นต้นครับ*





*เราฝึกสมาธิ..เพื่อให้จิตตั้งมั่นด้วยสติ มีกำลังอยู่ได้ด้วยตัวเอง*

*เมื่อจิตตั้งมั่นด้วยสติ..ก็จะเกิดผู้รู้*

*เมื่อจิตเป็นผู้รู้ชัด..ก็จะเกิดผู้ตื่น*

*เมื่อจิตเป็นผู้ตื่น..จิตก็จะเกิดนิพพิทา*

*เมื่อเป็นนิพพิทา..จิตจะน้อมเข้าฌาณได้ง่ายและไว* _(เหตุเพราะจิตหน่ายต่อโลก จิตคลายความยึดมั่นถือมั่นในโลก ใจคลายจากสภาพแวดล้อมของโลกความเป็นโลกที่เป็นอยู่ ที่ยึดอยู่ ที่อยู่จับอยู่ ที่ติดตรึงใจ ที่ตราตรึงใจไว้อยู่นั้นๆ คือ คลายจากกามคุณ ๕ คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฐัพพะ จิตจะจับที่ลมหายใจ (ตลอดจนต้นลมหายใจและปลายลมหายใจ) หรือจับนิมิตทางลม หรือจับกสินนิมิต หรือนิมิตต่างๆได้มั่น ..จิตคลายออกจากโลกโดยอาศัย..ลมหายใจ หรือนิมิตเหล่านั้น เพื่อเคลื่อนออกจากโลก แล้วยกจิตขึ้นอยู่ในสภาวะที่ใจไม่กวัดแกว่ง เอนเอียง อ่อนไหว คล้อยตาม น้อมใจไปในโลก ใจมีพลังตั้งอยู่ได้ด้วยตัวเอง ทำให้เคลื่อนจิตเข้าฌาณได้ง่าย สติที่เกิดพร้อมบริสุทธิ์..จะจดจำคลองธรรมคลองเข้าฌาณได้ง่าย ดังนั้นไม่ต้องไปจำจดจำจ้องคลองธรรม วสีใดๆ ให้ปล่อยมันเคลื่อนไป เมื่อเข้าได้บ่อยๆก็จะเกิดความรู้พร้อมในคลองธรรมหรือวสีเอง จะได้วสีก็ต้องฝึกบ่อนๆให้เข้าได้บ่อยๆจิตจะเห็นของธรรม ขณะเข้าจิตอยู่กับปัจจุบันอาจจะไม่นึกถึงการจดจำสภาวะ แต่เมื่อสติบริสุทธิ์ทุกๆครั้งที่ออกจากสมาธิก็จะยังคงเหลือสัญญาอยู่เสมอ เพราะสัญญาเกิดพร้อมด้วยสติระลึกรู้)_

*เมื่อจิตเข้าฌาณอันเป็นสัมมาสมาธิได้..จิตก็จะเกิด สุจริต ๓ (มรรคมีองค์ ๘)*

เมื่อจิตเป็นฌาณพร้อมด้วยสุจริต ๓ (มรรคมีองค์ ๘)..มรรคก็จะสืบต่อได้นานด้วยกำลังฌาณสมาธิ

เมื่อสุจริต ๓ (มรรคมีองค์ ๘) สืบต่อได้นาน ก็จะเกิดมัคสมังคีอ มัคสามัคคีกันเป็นองค์เดียว
_(เห็นชอบ คิดชอบ วาจาชอบ ประพฦฤติชอบ เพียรชอบ ระลึกชอบ ตั้งมั่นชอบ รวมเป็นองค์เดียว ทั้งหมดนี้เป้นสถภาวะธรรมในองค์ธรรมเดียว)_

*เมื่อกิดมัคสมังคี (มรรคสามัคคีรวมกันเป็นหนึ่ง)..จิตก็จะแทงขึ้นญาณทัสนะ คือ มหาสติปัฏฐาน ๔*

*เมื่อจิตเข้าถึงมหาสติปัฏฐาน ๔..ก็จะเกิดสัมโพชฌงค์ ๗*

*เมื่อเกิดเกิดสัมโพชฌงค์ ๗ ก็จะเกิดสู่วิชชา ปัญญา ฌาณ*

*เมื่อเข้าสู่วิชชา ปัญญา ฌาณ ก็จะถึง พระอริสัจ ๔ ใน รอบ ๓ อาการ ๑๒*

 30 
 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 02, 2024, 11:54:41 PM 
เริ่มโดย เกียรติคุณ - กระทู้ล่าสุด โดย เกียรติคุณ
`จาคะ อธิษฐานธรรม ๔ โดยธรรมนี้เกิดเห็นโดยส่วนตัวแต่ผมผู้เดียว ไม่ใช่โดยตรงจากที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระบรมศาสดาตรัสสอน จึงไม่ใช่ธรรมของจริงแท้ ยังเป็นเพียงธรรมปลอม หากแต่เป็นความรู้ด้วยการเข้าถึงสภาวะธรรมโดยส่วนตัวของปุถุชนอย่างผมพอจะมีปัญญาเข้าถึงตามธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนไว้ดีแล้วนั้นได้ เคยเห็นจิตกระทำแล้วบ้าง อาจแม้เพียงโลกียะ หรือจิตหลอกจิตก็ตามแต่ แต่ที่เขียนมาทั้งหมดนี้เพื่อชี้ให้เห็นว่า เราฝึกสมาธิเพื่อสิ่งใด การเข้าฌาณ คลองฌาณเบื้องต้นนั้น จิตมีมโนกรรมอย่างไรเท่านั้น มิได้อวดอ้างแอบอ้างความสืบต่อหรือแจ้งว่าตนบรรลุธรรมใด เป็นเพียงบันทึกกรรมฐานส่วนตัวของผมเท่านั้น`

*แต่หากธรรมนี้ทางนี้ทำให้ท่านผู้อ่านเข้าใจและให้ผลได้ ให้รู้ไว้เลยว่าธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนให้ผลได้ไม่จำกัดกาล และมีคุณมาก มีดังนี้เป็นต้นครับ*

จาคะ คือ การเผื่อแผ่เสียสละ เอื้อเฟื้อ มีน้ำใจช่วยเหลือ ใจกว้าง พร้อมที่จะรับฟังและร่วมมือ ไม่คับแคบเอาแต่ตัว

- ในทางธรรม คือ สละคืนอุปธิทั้งปวง คือ กิเลสตัณหาทั้งปวง อิ่มเต็มขันธ์ ๕ จิตเคลื่อนไปแทงขึ้นสังขารุเปกขาทำความแจ้งชัดในมหาสติปัฏฐาน กาย เวทนา จิต ธรรม อันยิ่งแล้วสำเร็จในอรหันตผล ถึงซึ่งพระนิพพาน

- ในทางโลก คือ การสะสมเหตุจาคะ ได้ดังนี้..
      ๑.) สละความเห็นแก่ได้ รู้จักให้ มีน้ำใจ เอื้อเฟื้อ แบ่งปัน..เป็นการสลัดทิ้งความตระหนี่ หวงแหน ใคร่ได้
           ..ผลที่ได้ คือ ทานที่ถึงจาคะ คือ รู้ประมาณ รู้จักพอ รู้จักอิ่มเป็น (คือ สละสิ่งของปรนเปรอตนเอื้อเฟื้อแก่ผู้อื่น เพื่อความเกื้อกูลกัน)..ซึ่งทำให้เรามีความเผื่อแผ่ มีมิตรมาก มีความอิ่มเอิบใจ และไม่อ่อนไหวกับสิ่งล่อใจจนหลงผิดทำผิดพลาด
      ๒.) สละความเห็นแก่ตัว รู้จักใจกว้างให้อภัย อดโทษ เว้นโทษ ละเว้นนระงับความเบียดเบียนกัน..เป็นการสลัดทิ้งความผูกโกรธ ผูกแค้น ผูกพยาบาท
           ..ผลที่ได้ คือ จาคะที่ถึงศีล (คือ สละความเห็นแก่ตัวสุขสบายส่วนตน สละความสุขปรนเปรอตน เพื่อความสุขร่วมกันกับผู้อื่นโดยปราศจากการเบียดเบียนทำร้ายซึ่งกันและกัน)..ซึ่งทำให้เราไม่ทำร้ายเบียดเบียนผู้อื่น มีความเย็นใจไม่เร่าร้อน ไม่หวาดกลัว ไม่พะวง ไม่หวาดระแวงด้วยไม่มีการล่วงกรรมคือกระทำผิดเบียดเบียนทำร้ายต่อผู้ใดโดยชอบธรรม มีจิตผ่องใส และไม่เกิดการกระทำวู่วามโดยขาดความยั้งคิดได้
      ๓.) สละความสำคัญตัวถือตน รู้จักอ่อนน้อม ถ่อมตน ไม่สำคัญตนว่าสำคัญต่อผู้ใดหรือสิ่งใด พึงตระหนักรู้ว่าเราก็เป็นเพียงหนึ่งในองค์ประกอบของสิ่งนั้นหรือสภาพแวดล้อมนั้นๆ โดยมีหน้าที่ทำอะไรบ้างได้เท่านั้นเอง
           ..ผลที่ได้ คือ จาคะที่ถึงภาวนา ละความถือตัวสำคัญตน (มานะทิฏฐิ), ละความเห็นสำคัญว่าเป็นเรา เป็นของเรา (อัตตานุทิฐฐิ), ละความยึดมั่นถือมั่นเอาใจเข้ายึดครอง (อุปาทาน)..เป็นการสลัดทิ้งความยึดหลงทนงตน ..ซึ่งทำให้เราไม่เป็นคนยกตนข่มท่าน ทะนงตน และหลงตนจนประมาทพลาดพลั้งได้

หน้า: 1 2 [3] 4 5 ... 10

บทความและไฟล์ภาพ ในเว็บไซต์แห่งนี้อาจนำมาจากเว็บไซต์อื่นๆ ที่ทีมงานคิดว่ามีประโชยน์ต่อผู้อ่าน โดยให้ผู้อ่านเกิดควมบันเทิง และให้ความรู้ โดยที่เราจะให้เครดิตทุกครั้งที่นำมา หากไฟล์ภาพหรือบทความใด ที่เจ้าของลิขสิทธิ์ไม่ต้องการให้นำมาแสดง โปรดแจ้งมาที่ tumcomputer@hotmail.com ทางทีมงานจะได้นำบทความนั้นออกทันที ขอบคุณครับ


เว็บนี้จัดทำโดย นายสุรัตน์ ศรลัมภ์ และครอบครัว อุทิศบุญให้เจ้ากรรมนายเวร และผู้มีพระคุณ

HTML Hit Counters
Powered by SMF 1.1.17 | Simple Machines|Copyright © 20010 BY : thammaonline.com
บทความธรรมะรวมเรื่องกฏแห่งกรรมสมาธิ วิปัสนากรรมฐานพลังจิตกระดานถาม-ตอบ Sitemap

Google มาเยี่ยมเว็บเมื่อ มิถุนายน 14, 2022, 07:41:47 AM