ตรงนี้โดยส่วนตัวผมไม่รู้นะครับว่าทางแก้จริงๆครูบาอาจารย์ท่านสอนอย่างไร แต่ในส่วนของผมที่ผ่านมามีดังนี้ครับ1. หากเป็นในส่วนของความทุกข์ : ผมมีความทุกข์ใจอย่างหาประมาณมิได้ เดินก็ร้องไห้ นั่งก้ร้องไห้ ไปไหนมาไหนก็ร้องไห้ ทุกข์หาที่สุดไม่ได้ ไม่เป็นอันทำอะไร เจออะไรก็ทุกข์ เจออะไรจิตก็ปรุงแต่งประกอบกับ สัญญา รัก โลภ โกรธ หลง ส่งต่อสร้างเรื่องราว ระลึกถึงความทรงจำ ก็ทุกข์ไปใหญ่(นี่เรียกว่าจิตส่งออกนอก)
- ผมได้แต่นั่งสมาธิและอธิษฐานจิตตั้งตรงต่อพระพุทธเจ้าผู้มีคุณประเสริฐเป็นเอนกอนันต์อย่างหาประมาณมิได้ที่ทรงละทิ้งทุกสิ่งเพื่อตรัสรู้ธรรมและเผยแพร่พระธรรมให้คนได้พ้นทุกข์
- ระลึกขอคุณแห่งพระพุทธเจ้าให้ผมได้พบธรรมอันเป็นจริงที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ให้ผมเข้าใจในธรรมนั้น แล้วเข้าถึงธรรมนั้นเพื่อความดับไปซึ่งทุกข์ของผม
- ระลึกขอคุณพระสงฆ์อริยะเจ้าที่เผยแพร่พระธรรมสืบต่อมาแม้พระพุทธเจ้าปรินิพพานนานแล้วเพื่อให้เราได้เรียนรู้ธรรมและความเป็นจริงเพื่อเป็นทางออกแห่งทุกข์
- ระลึกถึง คุณพ่อ คุณแม่ ที่เลี้ยงดูเรามาด้วยความรักเมตตาและทานให้เราเติบโตจนถึงทุกวันนี้และได้เจอพระธรรมในพระพุทธศาสนา
- ระลึกถึงคุณครูบาอาจารย์ที่เผยแพร่ธรรมะและชี้ทางพ้นทุกข์ให้เรา
- ผมก็นั่งสมาธิไปร้องไห้ไป เริ่มแรกก็นึกถึงเรื่องราวที่เจ็บปวด สับสน วุ่นวายไปหมด ต่อมาเมื่อมีสมาธิมากขึ้นก็เริ่มที่จะเปรียบสิ่งที่ตนพบเห็นอยู่กับสัจธรรมตามพุทาธวจนะ เมื่อผ่านไปซักพักจะมองเห็นว่าติดข้องใจใดๆกับความปรุงแต่งนั้นๆมันก็ไม่เกิดประโยชน์ใดๆแก่เรา ติดข้องใจไปก็มีแต่ทุกข์ เพราะเราไม่สามารถที่จะหยุดความไม่สมปารถนาได้ ไม่สามารถหยุดความพรัดพรากได้ ไม่สามารถหยุดที่จะไม่ให้ตนได้พบเจอกับสิ่งที่ไม่รักไม่พอใจได้ ยิ่งทะยานอยากต้องการ ยิ่งทะยานใคร่ได้ ยิ่งทะยานอยากจะผลักหนีให้ไกลตนก็ยิ่งเป็นทุกข์ เพระทุกสิ่งทุกอย่าง เกิดมา ตั้งอยู่ ดับไป ไม่เที่ยง ไม่มีตัวตน มันเป็นทุกข์ ไม่นานผมก็ละทิ้งจิตนั้นเข้าสู่อารมณ์สมถะ เมื่อจิตอยู่เหนืออารมณ์สมถะก็ได้เห็นพระพุทธเจ้าตรัสสอน อริยะสัจ๔ เห็นเหตุ เห็นปัจจัย เห็นผลคือทุกข์ เห็นทางพ้น เห็นนิโรธในสภาพความคิด แล้วผมก็ไม่ร้องไห้อีก แม้นั่งสมาธิ จะไปไหนมาไหน จะพบเจออะไรซักกี่ครั้งก็ตาม
2. หากเป็นในส่วนที่เกิดจากปิติจากการเริ่มเข้าสู่สมาธิ : ความปิตินี้มีหลายอาการ หากเมื่อจิตจดจ่อใหม่ๆยังไม่ละเอียดอ่อนเข้าถึง อุปจาระสมาธิ อัปนาสมาธิ ความปิติที่มีอาการโคลงเคลง มีเหมือนตัวลอยได้ มีน้ำตาไหลโดยไม่ทราบสาเหตุ มีอาการคันบ้างเป็นต้น (สิ่งนี้พระครูธัมมะวังโส และ พระครูอาโลโก ท่านเคยกล่าวไว้ใน มัชฌิมากัมมัฏฐาน) เมื่อจิตมีสมาธิที่สูงขึ้นละเอียดขึ้นความปิติข้างต้นก็จะหายใจ มีสภาพจิตเป็น ยินดี ปิติ อิ่มเอมใจอยู่ในสภาพจิตที่เป็นกุศล
ที่นี้คุณต้องลองดูครับว่าคุณอยู่ในสภาพจิตแบบไหน แล้วลองปฏิบัติดูอาจจะดีขึ้น ไม่งั้นผมแนะนำให้ถามกับครูบาอาจารที่เวบนี้ครับ http://www.madchima.org/forum/index.php?board=3.0