สาธุกับคุณแมนครับ
- ผมได้หาแนวทางยุติความฟุ้งซ่านของจิตให้สามารถทรงสภาวะความรู้สึกของเรามากขึ้น(อารมณ์ทางโลก) เนื่องมาจากเพราะผมปฏิบัติแล้วเห้นเยอะจนแยกแยะไม่ออกว่าอันไหนคิดอันไหนจริง อันไหนอุปาทาน อันไหนปรมัตถธรรม
- ผมจึงได้ทิ้งการปฏิบัติไประยะหนึ่งเพราะกลัวความหลงตนจะเกิดขึ้นจนเกินจำกัดได้
- แล้วผมก็ได้พบทางหนึ่งซึ่งก่อนหน้าเคยค้นพบปฏิบัติด้วยตนเองมา แต่ในสภาวะนั้นไม่รู้จักปรมัตถธรรมจึงตกอยู่ในสภาวะคิดเอามากกว่าจึงไม่ได้ผลเท่าที่ควร พอมาอ่านเจอที่หลวงพ่อฤๅษี พระราชหรมญาณ ท่านสอนไว้ง่ายๆคำหนึ่งว่า "ทรงอารมณ์"
- การทรงอารมณ์นี้พูดเหมือนง่าย แต่ยากมากหากไม่ทำเป็นประจำและไม่รู้สภาพปรมัตถธรรม ดังนั้นการทรงวภาวะอารมณ์ความสู้สึกจึงต้องอาศัยสภาวะที่เป็นสติและปรมัตถธรรมเป็นหลัก
- เช่นเวลาที่เราอยู่ในสมาธิจิตหรือฌาณจิตนี่เราตัดแล้วในอกุศลจิต แต่พอหลุดออกจากฌาณจิตเราก็มักจะหลงไปตามสังขารขันธ์ปรุงแต่งจนเกิดเป็น รัก โลภ โกรธ หลง แล้วก็หลุดจากจิตที่เป้นกุศล ยกตัวอย่าง อยู่ในสมาธิเราไม่โกรธมีใจกลางๆพอออกจากสมาธิมีอะไรมากระทบให้รับรู้อารมณ์(ทางธรรม) หน่อยเกิดปรุงแต่งไปก็เหกิดเป็นโทสะแล้วเป้นต้น
- การทรงอารมณ์นี้จึงสำคัญหากคุณรู้สภาพจริงของกุศลจิต รู้สภาพจริงของสมาธิจิตในแต่ละระดับ โดยสภาพปรมัตถธรรมนี้คุณต้องได้รู้สัมผัสด้วยตนเองจึงจะเข้าใจ เมื่อรู้สภาพปรมัตถธรรมก็ให้จดจำสภาพนั้นๆไว้แล้วกำหนดสมาธิระลึกถึงสภาพนั้นแล้วตั้งจิตเข้าสภาพนั้น หรือ ออกจากสภพานั้น นี่เรียกว่าทำให้เรากำหนดรู้สภาพที่เข้าออกของกุศลจิตและสมาธิจิตที่เราเรียกกันว่าฌาณ
เพิ่มเติมที่นี่ครับ
http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=8682.0หวังว่าจะเป็นประโยชน์แก่คุณแมน123ด้วยเช่นกันครับ หากไม่สมควรหรือไม่เกิดประโยชน์ใดๆก็ขออภัยไว้ด้วยครับ