ทำไว้ในใจถึงจิตที่เป็นพุทโธ (กรรมฐานด้วยพุทโธ)
1. มีอานาปานสติ + พุทโธ เป็นเบื้องหน้า ทำพุทโธเป็นวิตก ด้วยทำไว้ในใจถึงความเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ทำจิตเป็นพุทธะ เข้าถึงพุทธะตามสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระบรมศาสดา ด้วยธรรมแห่งพุทธานุสสตินั้น จิตเราเป็นสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้า
2. ผู้รู้ คือ รู้ของจริงต่างหากจากสมมติ ทำกายใจให้สบายๆ ผ่อนคลาย โล่งๆสบาย ไม่หน่วงตรึงจิต วางจิตไว้ในท่ามกลาง ทำสักแต่ว่ารู้ สิ่งที่รู้ๆอยู่นั้นไม่ว่า ความรู้สึกอันเกิดแต่ผัสสะ วิตก วิจาร มโนภาพ ว่างเปล่า ล้วนแล้วแต่เป็นอาการหนึ่งๆของจิตทั้งสิ้น เป็นเพียงธัมมารมณ์ที่จิตรู้ ทำไว้ในใจโดยจิตอยู่ท่ามกลางสักแต่ว่ารู้ว่ามีเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป มีความเป็นไปตามเหตุปัจจัย ไม่ข้องเสพย์ ไม่สืบต่อ
3. ผู้ตื่น คือ ตื่นจากสมมติ เมื่อรู้ของจริงต่างหากจากสมมติสักแต่ว่าธัมมารมณ์ที่ใจรู้นี้มีทั้งที่ควรเสพย์ และไม่ควรเสพย์ ไม่ว่าจะความ โสมนัส โทมนัส อุเบกขา ล้วนมีทั้งสิ่งที่ควรเสพย์ และไม่ควรเสพย์ พึงตั้งจิตไว้มั่น ความไว้ในภายในไม่ข้องเสพย์ ต่อเมื่อจิตเข้าไปคลุกคลีแนบอารมณ์ในสิ่งใด พึงประครองใจไว้ได้เพียงสักแต่ว่ารู้ รู้ตามไป เห็นความเป็นไปของมัน ดูอยู่ก็รู้ว่าดู เห็นอยู่ก็รู้ว่าเห็น ปรุงอยู่ก็รู้ว่าปรุง เอานิมิตนั้นเป็นเครื่องให้ใจรวมไว้ แต่ประครองไม่ให้เข้ามากไป ไม่ถอยออกมากไป ให้รู้ตามว่ามีสิ่งนี้เกิดขึ้น เรื่องราวๆ อารมณ์ความรู้สึกแบบนี้ เกิดขึ้นด้วยการปรุงแต่งตามเหตุปัจจัย เราดูอยู่ นิมิตใดกำหนดขึ้นมาก็รู้ว่ากำหดขึ้นมาเอง นิมิตใดเกิดขึ้นเองก็รู้ว่าเกิดขึ้นเองด้วยมีเหตุปัจจัยภายในมโน มนะ ที่ทำให้เกิดขึ้น ปรุงแต่งไป สักแต่ว่าธัมมารมณ์ เราใช้รู้ใช้ดูเพื่อเข้าใจจิต มีความรู้ตัวอยู่ทุกเมื่อ แนบอารมณืก็รู้ แล้วปล่อยไป ตามรู้ไป (เวลาที่จิตแนบอารมณ์มันมักจะตัดส่วนอื่นภายนอกแต่เรามีสติรู้อยู่ว่ามีสิ่งนี้เกิด ราวกับจิต แยกจากกัน จิตหนึ่งแนบชิดคิดตาม หรือแนบนิ่งก็ตาม แต่อีกจิตรู้ว่ามันคืออะไรกำลังทำอะไร นี้คือตัวแล นี่มีสัมปะชัญญะร่วมสติ มีความรู้ตัวทั่วพร้อม
กล่าวถึงความเป็นผู้ตื่น คือมีความรู้ตัวทั่วพร้อมนี้เป็นฐานที่ตั้งแห่งสติและสัมปชัญญะ)
๔. ผู้เบิกบาน คือ เบิกบานพ้นแล้วจากสมมติกิเลสของปลอมในขั้นต้น คือ จิตมีกำลังอยู่ได้ด้วยตัวเอง รู้จักละ รู้จักปล่อย รู้จักวาง ไม่ข้องเสพย์ ไม่สืบต่อ
ในขั้นกลาง คือ นิวรณ์ออ่อนกำลัง จิตไม่มีอกุศล ระลึกอกุศลไม่ออก นึกในอกุศลเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก (มีในชั้นฌาณ)
ในขั้นสุด คือ มรรคสามัคคีกันรวมลงเป็น 1 แทงตลอดสังขารุเปกขา ถึงความสละคืนกิเลสทั้งปวง